เทศน์บนศาลา

กิเลสย้อนศร

๒๗ ก.ย. ๒๕๕๒

 

กิเลสย้อนศร
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เอ้า ตั้งใจฟังธรรมนะ ตั้งใจฟังธรรม นั่งกำหนดสติไว้ที่ตัวเฉย ๆ เสียงธรรมะจะเข้ามากล่อมใจเราเอง ตั้งสติไว้เสียงจะเข้ามาเอง เราอยู่กับบ้านของเรา เราเฝ้าบ้านของเราเห็นไหม เรารักษาบ้านของเรา ใครเข้าใครออกเราจะรู้จักนะ ถ้าเราอยากรู้อยากเห็น เราพยายามจะรับรู้ให้ได้มากที่สุดเห็นไหม เนี่ยมันส่งออกไปข้างนอก เราส่งออกไปข้างนอก ได้ยินเสียงได้รับรู้อยู่แต่ไม่ซึ้งใจหรอก เราตั้งสติไว้ เสียงนี้จะมาเข้ามาถึงเราเอง ในบ้านเรามีเจ้าเรือนเห็นไหม ผีเรือนมั่นคงนะ ผีป่าไม่เข้ามาอาศัย ผีเรือนนะปล่อยให้มันเคว้งคว้างของมัน แล้วผีป่าจะเข้ามาอาศัย

นี่ฟังธรรมเห็นไหม ฟังธรรมตั้งสติไว้ เว้นไว้แต่เราภาวนาของเราโดยเฉพาะเห็นไหม ถ้าเราเปิดเทปฟัง เปิดวิทยุฟังเห็นไหม เสียงนั้นแทนพุทโธได้ เสียงของครูบาอาจารย์ เสียงธรรมนั้นแทนพุทโธได้นะ แต่ถ้าเราปฏิบัติโดยเฉพาะของเราเนี่ย เราต้องกำหนดเห็นไหม เพราะเรากำหนดสติไว้เฉย ๆ แล้วฟังนั่นน่ะผีเรือน เนี่ยตัวจิตเรามีอยู่ ตัวสติรับรู้เรามีอยู่เห็นไหม ข้อมูลจะเข้ามา แล้วจะเข้ามาถึงที่นี่มันจะซึ้งใจมาก ซึ้งใจจริง ๆ

เวลารู้สิ่งใดขึ้นมาเนี่ย แหมมันซาบซึ้งมาก แต่เรารับรู้นะ อยากรู้ พยายามอยากรู้ พยายามจะฟังทำเข้าใจกับสิ่งที่ครูบาอาจารย์เทศน์มาเห็นไหม จะเก็บตกให้หมด อุตส่าห์มาแล้วนี่ สิ่งใดจะเก็บตกให้ได้มากที่สุดเลย มันเลยเก็บตกสิ่งที่อยู่ภายนอก แต่หัวใจของเราเนี่ยมันไม่สะเทือนใจของเรานะ ถ้ามันสะเทือนใจของเราเห็นไหม การฟังธรรมเราตั้งใจของเรา

เราทำบุญกุศลของเรามาแล้วนะ บุญกุศลเห็นไหม คนเราเกิดมาเนี่ย ๆ ต้องมีบุญกุศลเป็นที่พึ่งอาศัย เรายังเกิดในวัฏฏะนะ การเกิดมาผลของวัฏฏะ เราเกิดมาในวัฎฎะ เราจะไปห้ามสิ่งนี้ไม่ได้ เราจะห้ามสิ่งที่เป็นความเป็นจริงของโลกไม่ได้ สิ่งที่ความเป็นจริงของโลกเห็นไหม วันคืนล่วงไป ๆ กาลเวลาเนี่ยมันวิวัฒนาการของมันตลอดไป ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ชีวิตของเราเนี่ยเกิดมาในวัฏฏะ เกิดมาในวังเวียนของวัฏฏะ วัฏฏะนะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ กามภพเห็นไหม ตั้งแต่สวรรค์ลงมา รูปภพ อรูปภพ สิ่งต่าง ๆ นะ สิ่งที่เป็นชีวิตมนุษย์เนี่ย ชีวิตที่สัตว์เดรัจฉานเห็นไหม นี่อบายภูมิ ๔ ตั้งแต่เดรัจฉานลงไป นรก อเวจี เราเห็นได้แต่สัตว์เดรัจฉาน

ชีวิตของเราเนี่ยเราเห็นได้ด้วยตาเนื้อของเรา แต่สิ่งที่เป็นเทวดา อินทร์ เป็นพรหมนี่ เราจะเห็นด้วยตาเนื้อของเราไหม เราว่ามีหรือไม่มีเห็นไหม จิตมันเวียนไปในวัฏฏะ ผลของการเกิดและการตายนี่เป็นผลของวัฏฏะ เป็นผลของวัฏฏะเห็นไหม เป็นผลของวัฏฏะ แต่เราอาศัยวัฏฏะนี้เห็นไหม เป็นที่เกิดเห็นไหม จิตนี้อาศัยวัฏฏะเป็นที่เกิด มันต้องมีบุญกุศลของมัน มีบุญกุศลของมันเกิดมาในชีวิตนี้ แล้วเนี่ยมันก็มีพออยู่ พออาศัยได้ บุญกุศลเป็นที่พึ่งอาศัยเห็นไหม

บาปอกุศลเกิดเหมือนกัน เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน ผลของวัฏฏะเหมือนกัน แต่เรามีบาปอกุศล มีสิ่งต่าง ๆ ที่มันทับถมมา แล้วจิตของเราเห็นไหม ทุกดวงใจทำทั้งบุญกุศลและบาปอกุศล บาปเนี่ยเวลาไม่อยากทำหรอก ไม่อยากทำ กิเลสตัณหาความทะยานอยากเนี่ยมันบังคับ มันขับไสให้ได้มีความผิดพลาด ได้มีการกระทำมา นี้บาปสิ่งที่ทำมา ทำโดยขาดสติ ทำโดยอำนาจของตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่ทำมามันให้ผล พอให้ผลขึ้นมา

เนี่ย ๆ มนุษย์สมบัติ อันนี้เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่มีคุณค่ามาก ทีนี้เราก็เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน เกิดในวัฏฏะนี้เหมือนกัน แต่มันมีบาปอกุศลเนี่ย เจือมาในชีวิตของเราเห็นไหม มันก็มีลุ่ม ๆดอน ๆ มีความสุข ความทุกข์นี้เป็นธรรมดา ความสุขความทุกข์นี้เป็นธรรมดานะ เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ ยิ่งศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องชีวิตนะ เราอยู่กับทางโลกเห็นไหม เราต้องประกอบสัมมาอาชีวะ เราต้องดำรงชีวิตทางโลกเห็นไหม เรามีความทุกข์ เรามีความทุกข์ มีความอึดอัดขัดข้องใจทั้งนั้นนะ เราอยากจะหาทางออก อยากจะหาเห็นไหม

สิ่งที่ว่าวิมุตติสุข ที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้เห็นไหม วิมุตติสุข เวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการน่ะ ตั้งแต่อนุปุพพิกถาเห็นไหม ตั้งแต่ทาน ตั้งแต่ศีล ตั้งแต่สวรรค์ ตั้งแต่เนกขัมมะ ตั้งแต่ออก...เนี่ยเห็นไหม เนกขัมมะให้ถือพรหมจรรย์ สิ่งต่าง ๆ เนี่ย มันมีอยู่ในสัจธรรม ในสัจธรรมนะ สัจธรรมนั้นเป็นสมบัติ เป็นสาธารณะ เป็นธรรมสาธารณะเห็นไหม

แต่เราล่ะ เราศึกษาขึ้นมา เราอยากหาทางออกเหมือนกันเห็นไหม ถ้าอยากหาทางออกเนี่ยมนุษย์สมบัติ ถ้าไม่มีมนุษย์สมบัติ ไม่มีการศึกษา ไม่เกิดมาพบพุทธศาสนาเห็นไหม เราเกิดมาเนี่ยถึงได้มีบุญกุศลมาก มีบุญกุศลมาก แต่มีบุญกุศลมากทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้ล่ะ ทุกข์ยาก ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง แต่คนพอใจในความทุกข์อันนั้น พอใจในความทุกข์อันนั้น ดูสิ เวลาคนหนุ่มคนสาวเห็นไหม คนหนุ่มคนสาวว่าชีวิตนี้ยาวไกลนะ ชีวิตเขาน่ะเหมือนกับดอกไม้แรกแย้มเลย โอ้โห โลกนี้มีอุดมคติ อุดมการณ์ ชีวิตนี้จะก้าวไปอีกข้างหน้าอีกมหาศาลเลย

คนแก่คนเฒ่านะ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเห็นไหม เนี่ยชีวิตเนี่ยนะ ชีวิตเริ่มถึงบั้นปลาย ถึงหาที่พึ่งที่อาศัย ในสังคมของพุทธศาสนาเราเห็นไหม สมัยโบราณนะคนเกษตรกรรม เกษตรกรรมเห็นไหมชีวิตเกษตรกรรม ชีวิตการทำนาทำไร่ พอแก่พอเฒ่าขึ้นมาเนี่ยเข้าวัดเข้าวาเห็นไหม เข้าวัดเข้าวาเพื่อเตรียมตัว เพื่อหาที่พึ่งของเรา เพราะเราเชื่อในพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนคนนะ

พุทธศาสนา ศาสนานี้มีคุณค่ามาก แล้วเราเกิดมาพบพุทธศาสนาเห็นไหม ดูสิคนเกิดมาในโลกนี้มหาศาลเลย เขาเกิดมาแล้วเขาไม่ได้พบพุทธศาสนา หรือพบพุทธศาสนาแต่เขาไม่สนใจของเขาเห็นไหม เขาใช้ชีวิตของเขาไปทางโลก วิทยาศาสตร์เป็นโลก ใช้ชีวิตต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ ทางโลกของเขา เขาว่าเขามีความสุขนะ ความพอใจของเขา มันน่าเศร้า มันน่าเศร้าที่ว่า เขาเกิดมาเห็นไหม เกิดมาเหมือนเรานี่แหละ เราต้องมีที่พึ่งที่อาศัย เรามีบาป มีบุญ มีกุศล เห็นไหม เราพยายามเสียสละของเรา เพื่อบุญกุศลของเรา

บุญกุศลอันนี้เห็นไหม เราได้กระทำของเราขึ้นมา มโนกรรม มีการกระทำ มีจิตขึ้นมา มโนกรรมเนี่ย มันซับลงที่จิตหมดล่ะ มันซับลงที่ใจเห็นไหม เนี่ยเวลาซับลงที่ใจ เวลาเราทำบุญกุศล ว่าเป็นทิพย์ ทิพย์สมบัติ ๆ ทิพย์สมบัติที่ไหน เวลาเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมนะ วิญญาณาหาร อาหารในวัฏฏะ ในวัฏวน ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ มันมีอาหาร ๔ เกิดในชาติใด เกิดในภพชาติใด มีอาหารสิ่งใดดำรงชีวิต เขาเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เห็นไหม เขากินวิญญาณาหาร พรหมเขาใช้ผัสสาหาร ความผัสสะเห็นไหมเขามีขันธ์เดียว ขันธ์เดียวจิตหนึ่ง เห็นไหมจิตหนึ่ง คำว่าผัสสาหาร ความผัสสะของจิต มันดำรงชีวิตของเขาด้วยอาหารอย่างนั้น

เนี่ยวิญญาณาหาร อาหารที่เป็นทิพย์ ๆ ที่ว่าเป็นทิพย์ ทิพย์เป็นอย่างไร ทิพย์เป็นอย่างไรเห็นไหม วิญญาณาหาร อาหารในวัฏฏะเห็นไหม กวฬิงการาหาร อาหาร อาหารเป็นคำข้าวเห็นไหม เนี่ยมโนเจตนาหาร มโนเจตนาหาร สิ่งต่าง ๆ เนี่ยมโนเห็นไหม มะโน วิญญาเณปิ นิพพินทะติ มะโนสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ เห็นไหม มโนก็ต้องทิ้ง มโนทำลายหมดนะ มโนเจตนาหารเนี่ยมันเป็นอาหารในวัฏฏะ สิ่งที่อาหารในวัฏฏะเห็นไหม คนที่เกิดมาในชีวิตสิ่งใดต้องการอาหารสิ่งใด

นี่ก็เหมือนกันทำบุญกุศล เป็นทิพย์ ๆ เป็นทิพย์เพราะเหตุใด เป็นทิพย์เพราะการกระทำนั้น ใครเป็นคนทำ ก็มนุษย์เป็นคนทำไง เราเป็นคนทำไง แต่ใช่เราเป็นคนทำ แต่ถ้าเราเป็นคนทำนะ ทำโดยสักแต่ว่าทำ เห็นไหมดูสิในครอบครัว ๆ หนึ่งเห็นไหม คนเรามีธุระปะปัง มีความต้องการ เนี่ยเขาขัดขืนดื้อดึง พ่อแม่ปู่ย่าตายายก็พยายามชักจูงกันเข้ามาเห็นไหม การทำด้วยเจตนาเห็นไหมใจเขาไม่เปิดเลย บางทีทำด้วย เนี่ยไม่ได้พูดประชดนะ บางทีทำด้วยการประชดประชัน ผู้ที่เขาจิตใจเขากระด้างของเขา นั่นเป็นธรรมดาเห็นไหม

เนี่ยสิ่งนั้นเห็นไหม มันเข้าถึงมโนกรรมไหม จิตใจของเขาเปิดกว้างไหม เนี่ยบุญกุศลไม่เท่ากันอย่างนี้ไง แต่เราทำด้วยความซาบซึ้ง เราทำด้วยความเจตนาของเรา เราทำด้วยบุญกุศลของเรา เราทำด้วย...เนี่ยมันกินใจมากนะ เนี่ยสิ่งนี้มันฝังลงที่ใจ ถ้าฝังลงที่ใจ เนี่ย ๆ วิญญาณาหาร อาหารที่ต่อไปข้างหน้ามันจะมีของมัน บุญกุศลเป็นที่พึ่งของเรา พึ่งอย่างนี้ไง

แล้วเวลาเราทำความดีเห็นไหม กลิ่นของศีลหอมทวนลม กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรมหอมทวนลม คนทำความดีไง ทำแต่สิ่งดี ๆ ทำความดีอันนั้นมันตอบสนองนะ สีเลนะ สุขติง ยันติ สีเลน โภคสัมปทา เนี่ยศีลทำให้มีความสะอาดบริสุทธิ์ ศีลทำให้มีความสุขเห็นไหม ศีลทำให้เกิดโภคทรัพย์ แล้วโภคทรัพย์เนี่ย สิ่งต่าง ๆ อย่างนี้ เราทำมาเพราะเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านะ

เราศึกษาได้ เราทำเราศึกษาได้ เราประพฤติปฏิบัติได้ด้วยความเป็นไปของมนุษย์ไง เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เนี่ยเรามีอริยทรัพย์ อริยทรัพย์คือหัวใจ คือสิ่งที่รู้ดีรู้ชั่ว รู้ความผิดความถูก แล้วความผิดความถูกนะ เราประกอบสัมมาอาชีวะไปน่ะ มันต้องฝืนไปกับกระแสโลก โลกก็เป็นไปอย่างนั้นเห็นไหม แล้วเราอยู่กับกระแสโลกนะ เนี่ยโลกไง เนี่ยความเป็นสังคม สังคมเป็นใหญ่ ๆ เขาก็เอาชนะคะคานกันไป

แต่ถ้าเราเห็นไหม เรามีศีลธรรมในหัวใจของเรา มีศีลมีธรรมนะ มีศีลมีธรรมมีสติสัมปชัญญะในหัวใจเนี่ย สิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเนี่ยเห็นไหม มันยิ้มย่องผ่องใสในหัวใจนะ เขาจะทำสิ่งใด เขาจะเบียดเบียน เขาจะฉ้อโกงสิ่งต่าง ๆ เราไม่ทำกับเขา เราไม่ทำกับเขา ลาภที่ไม่ควรได้ มันไม่ใช่สิทธิของ ๆ เรา เราไม่สร้างบุญสร้างกรรม ได้สร้างเวรสร้างกรรม วิญญาณาหารแล้วมันเป็นอาหารที่เป็นทุกข์ล่ะ อาหารที่เป็นบาปอกุศลล่ะ สิ่งนี้เกิดขึ้นเห็นไหม เรามีสติสัมปชัญญะ เรายับยั้งของเราได้ ถ้ายับยั้งของเราได้ เรายับยั้งนะ

สิ่งที่เกิดขึ้นมาเนี่ย เวลาบอกคนนั้นทำไม่ดี คนนั้นทำไม่ดีเนี่ย เราพูดว่าเขาไปหมดล่ะ แต่เวลาถึงตัวเรา เราเห็นไหมล่ะ ของเนี้ยมันตกซึ่ง ๆ หน้าเป็นทองคำ เราจะหยิบไหม แล้วเจ้าของล่ะ ของเขาที่ไม่ได้ให้ พอของเขาตกหล่นอยู่เนี่ย เราเก็บไว้ เราจะไปให้ใคร ถ้าเราเก็บแล้วเราหาเจ้าของไหม เก็บแล้วเป็นของตัวเราไหม ของที่มันเกิดเฉพาะหน้านี่แหละ เนี่ยมันวัดค่าของใจไง มันวัดถึงหัวใจเราจริงหรือเปล่า นี้มันวัดของมันนะ วัดค่าของใจ ถ้ามันเข้มแข็งขึ้นมาเนี่ย มันหาเจ้าของเขาได้ มันสิ่งต่าง ๆได้ เนี่ยลาภที่ไม่ควรได้ แต่ลาภที่ควรได้ล่ะ ลาภที่ควรได้เห็นไหม ลาภที่ยิ่งต้องแสวงหาด้วย

อย่างเช่นเราที่ศึกษาธรรมะเนี่ย เราเข้าใจ มีบุญกุศล บุญนี้เป็นที่พึ่งอาศัยนะ ในชีวิตบุญเป็นที่พึ่งอาศัย ที่พึ่งอาศัยเนี่ยมันเป็นอำนาจวาสนา คำว่าบุญเนี่ยมันเป็นอำนาจวาสนา มันเป็นจังหวะ มันเป็นโอกาส เนี่ยในการประพฤติปฏิบัติของเราเห็นไหม เราเกิดมาพบองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย อำนาจวาสนามาก ใครเกิดสหชาตินะ เนี่ยถ้ามีศรัทธา มีความเชื่อเห็นไหม ไปเฝ้าองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าจะพยากรณ์เลย จะแนะนำให้ทำสิ่งต่าง ๆ ให้ตรงกับจริตนิสัยเลย

แต่นี่เราเกิดไม่ทัน เราเกิดไม่ทันใช่ไหม แต่เราก็มีบุญกุศล เราเกิดมาพบพุทธศาสนา พุทธศาสนามีร่องมีรอยเห็นไหม พุทธศาสนาเนี่ยธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา ๆ แล้วเราประพฤติปฏิบัติมีครูมีอาจารย์ไหม มีคนชี้นำไหม มีคนแนะนำไหม แนะนำแล้วเห็นไหมเนี่ย สิ่งประพฤติปฏิบัติมันวัดกันได้ มันวัดกันได้ในหัวใจของเราเนี่ย ถ้าเราทำสมาธิได้ ถ้าเรามีปัญญาของเรา ปัญญาเราลึกซึ้งมากขนาดไหน เนี่ยถามท่านเลย ท่านตอบได้ไม่ได้ ถ้าท่านตอบไม่ได้ของท่านน่ะ มันไม่ตรงกันแล้วแหละ

แต่ถ้ามันตรงกันเห็นไหม มันตรงกันถือว่าท่านคอยชี้นำเรา แล้วมันเป็นวุฒิภาวะด้วย วุฒิภาวะบางทีครูบาอาจารย์ท่านพูด เราไม่เข้าใจนะ มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันจะเป็นไปได้หรือ เนี่ย ๆ สิ่งที่ท่านพูดท่านบอกเห็นไหมวุฒิภาวะ เนี่ยการพัฒนาของสิ่งต่าง ๆ เห็นไหม การพัฒนา เนี่ยวุฒิภาวะที่จิตมันต่างกัน ต้องรอเวลาถึงจะเข้าใจได้นะ ถ้าเข้าใจได้นะ

เห็นไหมหลวงตาท่านพูดบ่อย เวลาท่านเทศนาว่าการสอนพระเนี่ย ท่านบอกเลยนะ ท่านพูดอย่างไร จำคำนี้ไว้นะ แล้วถ้าใครรู้จะมากราบศพผม ใครรู้ใครเห็นจะมาซึ้งในหัวใจ จะมากราบศพไง เพราะท่านเสียชีวิตไปแล้วไง ถ้าท่านพูดเราพูดเป็นธรรมะไว้นี่ พูดเป็นสัจจะความจริงไว้เนี่ย ถ้าเขามารู้ทีหลังแล้วนะ เขาจะย้อนมากราบศพเอง แต่ในปัจจุบันเขาสบประมาทนะ มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันจะเป็นไปได้หรือ เนี่ยคนคิดของเขาไปนะ

เพราะว่าอะไรเพราะการกระทำ จิตของเราเนี่ยอ่อนแออยู่ ถ้าจิตของเราเข้มแข็งขึ้นมานะ เราพยายามของเรา ๆ เนี่ย บุญกุศลเราก็สร้าง เห็นไหมเรามาวัดมาวาเนี่ย เรามาประพฤติปฏิบัติกัน เนี่ยผู้ที่ออกบวชเห็นไหม ๆ เนี่ย สิ่งที่บวชเห็นไหมเนี่ย เวลาออกจากบวชไปเห็นไหม พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป เพราะค้ำจุนไง ค้ำจุนศาสนา พอค้ำจุนศาสนา บวชเห็นไหม พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป เนี่ยสิ่งต่าง ๆ ที่เราปฏิบัติขึ้นมาเนี่ย เพราะเลือดเนื้อเชื้อไขมาค้ำจุนศาสนา อันนี้เป็นผลเป็นประเพณีของชาวพุทธเรานะ เนี่ยพอชาวพุทธเราเนี่ย ถ้าเข้าถึงนะอยากให้ลูกได้บวช ได้พึ่งผ้าเหลือง ได้พึ่งต่าง ๆ นะ เพราะลูกเข้ามาเนี่ย บุญกุศลมันสืบต่อกันมานะ

ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ตั้งแต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไป สงฆ์ยังไม่เคยขาดจากโลก ถ้าสงฆ์ขาดจากโลก มันบวชพระต่อกันไม่ได้ พระเนี่ยนะก็มาสืบต่อเห็นไหม ค้ำโพธิ์ ดูสิประเพณีทางภาคเหนือเขาเอาไม้ค้ำต้นโพธิ์กันเนี่ย เนี่ยก็เหมือนกัน โพธิคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ไอ้เราเป็นไม้ค้ำ ค้ำไว้คือศึกษาไว้ เหมือนมดแดงเฝ้ามะม่วง นี่ก็เหมือนกัน ศึกษาสืบต่อศาสนามา แล้วคนที่จะเข้าไปถึงรส มดแดงมันได้กินมะม่วงไหม มันรู้จักมะม่วง มันจะเอามะม่วงเป็นอาหารของมันไหม

นี่ก็เหมือนกัน เนี่ยเห็นไหมเราบวชพระบวชเจ้าขึ้นมาแล้วเนี่ย ค้ำโพธิ์ ค้ำโพธิ์ไว้ ถ้าเราเข้าถึงโพธิล่ะ เราเข้าถึงพุทธศาสนาล่ะ หัวใจเราเป็นธรรมขึ้นมาล่ะ มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลยนะ สิ่งใดจะมีคุณค่าเท่ากับสิ่งนี้ ถ้าสิ่งใดมีคุณค่านะเท่ากับสิ่งนี้ ถ้าเราเป็นสิบแปดมงกุฎล่ะ มันก็เอามาอ้างอิงนั่นไง สิ่งนี้มีคุณค่า ๆ มีคุณค่าแล้วทำยังไงล่ะ มีคุณค่าแล้วจับต้องยังไงล่ะ มีคุณค่าแล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ ก็ว่ามีคุณค่า ๆ เป็นนามธรรมก็จับต้องไม่ได้ไง เนี่ยธรรมะเป็นนามธรรม เนี่ยสิ่งใดธรรมะเป็นธรรมชาติ มันก็เคลื่อนไหวไปเป็นธรรมชาตินี่แหละ มันก็ลม อากาศ มันก็หมุนไปอย่างนั้นน่ะ

เนี่ยแต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมานะ มันจะเป็นอย่างนั้นไหม ศีลเป็นอย่างไร สมาธิเป็นอย่างไร ปัญญาที่เกิดขึ้นมามันเกิดขึ้นอย่างไร แล้วมันจะชำระกิเลสขึ้นได้อย่างไร เราจะมีความจริงใจ เราจะมีความจงใจ มีความตั้งใจไหม อย่างเช่น เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเนี่ย เราตั้งสติของเราขึ้นมา เราต้องตั้งสติขึ้นมา สิ่งต่าง ๆ ที่เราทำมาแล้วเนี่ย มันเป็นเรื่องของปัจจัยเครื่องอาศัย ข้อวัตรปฏิบัติเห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติมันต้องทำ คำว่าข้อวัตรปฏิบัติเนี่ยมันทำ เพราะเราเกิดมามีชีวิตเห็นไหม พระก็มีชีวิต ผู้ที่มาอาศัยวัดก็มีชีวิต สิ่งที่เรามีข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติก็เป็นกติกาเห็นไหม

เนี่ยทำพร้อมกันอยู่ด้วยกันเนี่ย มันเป็นทิฏฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน ทิฏฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกันจะมีความสุขมาก ทิฏฐิไม่เสมอกัน ความเห็นไม่เสมอกันเห็นไหม ไอ้นั่นทำตอนนี้ ไอ้นี่ทำตอนนั้น ขัดแย้งกันเรื่องกาลเวลา ขัดแย้งกัน มันทิฏฐิไม่เสมอกันไง เวลาที่จะลงทำ ทำให้พร้อมกันไม่พร้อมกัน มันก็ไปขัดแย้งกันกับคนที่ประพฤติปฏิบัติอยู่ ไอ้คนที่ประพฤติปฏิบัติอยู่ต้องการความสงบความสงัด ไอ้ที่คนที่มาทำก็มีการกระทบกระเทือนกันเห็นไหม ทิฏฐิไม่เสมอกัน ความเห็นไม่เสมอกัน

ถ้าทิฏฐิเสมอกันเห็นไหม เนี่ยข้อวัตรปฏิบัติเราทำให้เหมือนกัน ทิฏฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน ถ้าเสมอกันนี่ ปฏิบัติไปมันจะเคลื่อนไป เนี่ย ๆ องคาพยพมันจะเคลื่อนไป ความประพฤติปฏิบัติเราจะเคลื่อนกันไปเห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่เราถึงว่า ข้อวัตรปฏิบัติ หรือสิ่งที่ว่าเรามาจำศีลอยู่วัดเห็นไหม ทำพร้อมกันไป พร้อมกัน ทิฏฐิเสมอกัน สิ่งต่าง ๆ นี้มันเป็นเรื่องจากภายนอก สิ่งเรื่องจากภายนอก ข้อวัตรปฏิบัติมันเป็นเรื่องจากภายนอก และข้อวัตรปฏิบัติเนี่ย มันจะเป็นเครื่องดำเนิน เป็นเครื่องดำเนินให้หัวใจเราเข้าสู่สัจจะความจริง ถ้าหัวใจเราเข้าสู่สัจจะความจริงเห็นไหม มันบังคับใจเราให้ทำตามนั้น ทำตามนั้นเห็นไหม เนี่ยพระบวชมาศีล ๒๒๗ เท่ากัน เป็นพระเหมือนกัน สมมุติสงฆ์เหมือนกัน สมบูรณ์ด้วยอุปัชฌายะ ญัตติจตุตถกรรมมาเป็นพระขึ้นเข้าหมู่สงฆ์ มีสิทธิเสมอกัน มีความเห็นเสมอกัน แต่เวลาเราเคารพบูชากันน่ะ เราเคารพเนี่ยธรรมวินัย อาวุโสภันเต แล้วเรายังลงใจในครูบาอาจารย์ของเราว่ามีคุณธรรม มีคุณธรรมสิ่งที่ท่านแนะนำเราได้ ท่านสั่งสอนเราได้ ท่านชี้นำเราได้

เหมือนเราเนี่ยเราเป็นโรคภัยเป็นภัย เราเป็นผู้ป่วยเนี่ย เราไปอยู่ในโรงพยาบาลที่มีหมอทุกอย่างพร้อม เครื่องมือแพทย์พร้อมนี่ เราจะอบอุ่นใจไหม แต่เราก็ต้องตายเป็นธรรมดานะ เพราะเราชราภาพเป็นธรรมดา นี่ก็เหมือนกันในเมื่อเรามีครูมีอาจารย์คอยชี้นำเนี่ย มีคนคอยชี้นำ มีคนคอยบอก คอยแนะเนี่ย มันจะน่าอบอุ่นไหม เนี่ยสิ่งนี้ถ้ามันมีอยู่แล้วเราต้องขวนขวาย เราก็ต้องรีบขวนขวายของเรา เพื่อการกระทำของเรา แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเห็นไหม เราจะประพฤติปฏิบัติ เพราะสิ่งที่ว่าเรามาอยู่ เรามาประพฤติปฏิบัติกัน เรามาอยู่วัดอยู่วาเนี่ย ข้อวัตรปฏิบัตินี่มันเป็นการเครื่องกรองมาชั้นหนึ่งแล้ว แต่เวลาเราจะเอาความจริงของเราขึ้นมานะ ข้อวัตรปฏิบัติเห็นไหม เนี่ย สมมุติบัญญัติมันก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง

เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดนะ เวลาท่านประพฤติปฏิบัติด้วยความจริงจัง ความองอาจกล้าหาญนะ ท่านบอกว่าอันนั้นก็เป็นบ้าอันหนึ่ง ทิฏฐินะ มันเกิดทิฏฐิ ทิฏฐิถ้าเป็นสัมมามันก็ทิฏฐิถูกต้อง แต่ทีนี้ถูกต้องขึ้นมาเนี่ย ทิฏฐิหรือความเห็น หรือการกระทำเนี่ยอุกฤษฏ์ขนาดไหน มันก็เป็นบ้าอันหนึ่ง แต่บ้าอันนั้นต้องใช้นะ บ้าอันนั้น ถ้าไม่มีบ้าอันนี้มันจะขึ้นมาได้อย่างไร ก็บ้าอันนั้นมันเป็นพื้นฐานล่ะ แต่ถ้าไปติดมันบ้าอยู่มันก็มาไม่ได้เห็นไหม ติดบ้าอยู่มันก็ปล่อยสิ่งที่ว่าจากบ้ามาดีไม่ได้เห็นไหม

แต่บ้าอันนั้นก็ถูกต้อง ถูกต้องในการขณะที่กระทำนั้น ถูกต้องในการประพฤติปฏิบัตินั้น สิ่งต่าง ๆ มันต้องมีพื้นมีฐานของมันขึ้นมา มันถึงจะเป็นความจริงของมันขึ้นมาได้เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันเป็นสมมุติบัญญัติ มันก็เป็นสมมุติบัญญัติจริง ๆ นั่นแหละ แต่ก็ต้องอาศัยสมมุติบัญญัติเนี่ยเข้าสู่ใจของเรา ในเมื่อมันเป็นข้อวัตรปฏิบัติ มันเป็นสมมุติบัญญัติ เราก็ตั้งใจขึ้นมา ตั้งใจของเราขึ้นมา แล้วพยายามตั้งสติของเราขึ้นมา เนี่ยมันก็จะเรียบง่ายเห็นไหม

โคผูก โคที่เราผูกไว้ เวลาที่เราใช้การมัน แก้เชือกเข้ามาเอามาใช้งานได้ โคปล่อยอยู่ในป่าในเขานี้ เวลาจะใช้งานมันนะต้องไปดัก ต้องไปถึงเวลานัดหมายเห็นไหม ต้องไปคอยดูแลมัน จะจับมันมาใช้สอย นี่ก็เหมือนกัน มีข้อวัตรปฏิบัติเนี่ยเหมือนโคผูกไว้ เราผูกใจเราไว้เห็นไหม ตั้งแต่ถ้าเราไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ เราอยู่กับทางโลกเขา โลกเขาใช้ชีวิตเห็นไหม ทางวิทยาศาสตร์ แบบโลก เขาใช้ชีวิตแบบความพอใจของเขา ความสบายของเขา เขาไม่มีศีลเห็นไหม ไม่มีสิ่งบังคับตัวเอง นี่ไงโคปล่อย แต่โคผูกล่ะ โคผูกมันก็มีศีลเห็นไหม ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศีลนี้บังคับมันไว้ ถ้าบังคับเนี่ยผูกมันไว้กับศีลกับธรรม ถ้าผูกไว้กับศีลธรรมเห็นไหม

เวลาเรามีความตั้งใจ เรามีความจงใจขึ้นมา เราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะประพฤติปฏิบัติ เพราะธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกสมมุติบัญญัติ สมมุติบัญญัติเห็นไหม แล้วเราจะพ้นเข้าสู่วิมุตติ เข้าสู่สัจจะความจริง เข้าสู่สัจจะความจริงเนี่ยเวลาประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านจะบอกก่อนเลยว่าศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องทำมีศีลเป็นปกติเป็นข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา แล้วต้องทำความสงบเข้ามา ทำสมาธิของเราเข้ามา

ทีนี้พอทำสมาธิของเราเข้ามา เวลาทำสมาธิเนี่ย เวลาทำความสงบ ต้องมีความสงบของใจก่อน ไม่มีความสงบของใจเนี่ย สิ่งที่คิดค้นขึ้นมาเนี่ย มันเป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ แม้แต่ปรมัตถธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกต้อง ปรมัตถธรรมของพระพุทธเจ้า สาธุ จริง ๆ เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แต่กิเลสเราไปตีค่ากันเอง ให้ค่ากันเอง ของที่มันทองคำบริสุทธิ์เห็นไหม ทองคำในเหมืองที่เราจะขุดขึ้นมาเนี่ย มันมีแร่ธาตุอย่างอื่นเจือปนมาด้วยล่ะ

ธรรมของพระพุทธเจ้าน่ะทองคำ แต่ความคิดความเห็นที่เราตีความผิดพลาดนั่นล่ะ นั่นกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราทั้งนั้นล่ะ นี่กิเลสมันขัดแย้งมาตลอดนะ ทั้ง ๆ ที่ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทำตามนั้น รู้ตามจริงนั้น มันจะเป็นผลอย่างนั้นจริง ๆ แต่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเนี่ย เราไม่ทำตามนั้น อย่างข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ ขึ้นมาเนี่ย เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ข้อนั้นเข้าสู่สัจจะความจริงอันนั้น แต่ทำของเราต้องเป็นความเห็นของเรา ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น เนี่ยต้องเป็นอย่างนั้น มันอะไรล่ะ ต้องนี่คือใคร ใครเป็นคนคิด มันเป็นความจริงที่เราคิดหรือเปล่า นี่แล้วเป็นความจริง ๆ ของใคร

ทิฏฐิมานะเห็นไหม ทิฏฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน แล้วทิฏฐิมันต่างกัน ความเห็นมันต่างกัน มันเป็นยังไง สิ่งนี้เป็นยังไงนะ เนี่ยกิเลสมันจะขัดแย้งตลอด เนี่ยดูสิเวลาเรารักษาความปลอดภัยเห็นไหม รถที่เขาจะไปบนถนนเห็นไหม เขาจะมีรถกวาดไปก่อนนะ ถ้าชั้น ๑ ประเภทที่ ๑ รถกวาดไปก่อน แต่ถ้าชั้นที่ ๒ ที่ ๓ เขาก็แค่ปิดกั้นรถเท่านั้น รถเขาจะกวาดไปก่อนเพื่อความปลอดภัยนะ ขนาดยังงั้นแล้วนี่มันยังมีอุบัติเหตุได้ กิเลสมันย้อนศรนะ กิเลสมันย้อนศรกลับมาทำลายมันนะ

แม้แต่เราประพฤติปฏิบัติ เริ่มต้นน่ะไม่ต้องกิเลสย้อนศร กิเลสของเราแท้ ๆ กิเลสปัจจุบัน กิเลสที่ไปกับเราเนี่ย เราจะต้องทำความสงบของใจให้มันสงบมาให้ได้ ถ้าใจของเราสงบขึ้นมานะ เนี่ยสุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา คำว่าภาวนามยปัญญาเนี่ย มันเป็นปัญญาที่เกิดจากการภาวนาล้วน ๆ มันเป็นปัญญาที่เกิดจากการภาวนา แต่ปัญญาที่เกิดจากการภาวนานี่มันลอยมาจากฟ้าเหรอ มันจะมาจากไหน ปัญญาที่เกิดจากภาวนา ปัญญาที่ไม่เกิดจากโลก ไม่เกิดจากการจินตนาการ ไม่เกิดจากสิ่งใด ๆ เลยนี่ ปัญญาล้วน ๆ ปัญญาที่สะอาดบริสุทธิ์อย่างนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ปัญญาอย่างนี้เท่านั้นที่จะถอดถอนกิเลส จะชำระกิเลส

แต่ในการศึกษา ในการกระทำของเราเห็นไหม เรามีสิ่งใดอยู่ในหัวใจเราบ้าง ใครบ้างไม่มีการศึกษามา ใครบ้างไม่ได้ยินไม่ได้ฟังครูบาอาจารย์เทศนาว่าการมา มันมีมาทั้งนั้นล่ะ สิ่งที่มันมีมาในหัวใจ มันตกผลึกในหัวใจของเราไหม ถ้ามันตกผลึกในใจของเรานี้ สิ่งอย่างนี้มันจินตนาการได้ไหม มันเอาสิ่งนี้มาเทียบเคียงได้ไหม มันได้ทั้งนั้นเลย ถ้ามันได้ทั้งนั้นเลยเห็นไหม เนี่ยปรมัตถธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย ก็มาจากไหนล่ะ ก็มาจากใจที่เราศึกษานี่แหละ ถ้ามันมาจากใจที่เราศึกษาเห็นไหม

พอเราศึกษาแล้วนี่เรายังไม่มีวุฒิภาวะ หรือว่าจิตใจเรายังไม่สูงส่งพอ เราก็อยากจะพ้นทุกข์เหมือนกัน เราก็อยากมีคุณธรรมเหมือนองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน ถ้าเราอยากจะมีคุณธรรมแบบองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า อยากจะมีคุณธรรมอย่างนั้น แล้วเราประพฤติปฏิบัติไปของเราเนี่ย โดยความเห็นของเรา โดยทิฏฐิมานะของเรา มันจะเข้าไปสู่ความจริงอย่างนั้นได้ไหมเนี่ย มันเป็นกิเลสไปกับเรานะ

มันมีกิเลสกับเราเนี่ยไปด้วยกัน โดยเราจะตรึกขนาดไหน เพราะการเกิดของมนุษย์ การเกิดของจิตวิญญาณต่าง ๆ โอปปาติกะต่าง ๆ การเกิดเนี่ย อวิชชาพาเกิดหมด มีการเกิดการตายอยู่เนี่ย อวิชชาทั้งนั้น อวิชชาคือความไม่รู้ เพราะหลงมันถึงไม่รู้ มันรู้มันจะหลงได้อย่างไร เพราะความไม่รู้ ทั้งศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าเนี่ยก็ไม่รู้ ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเนี่ย ศึกษาเต็ม ๆ เนี่ย อ่านชัด ๆ เนี่ยแหละ แต่ในหัวใจไม่รู้ รู้ไม่ได้ ไม่มีสิทธิที่จะรู้ได้ เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปไม่ได้เนี่ย

แต่ถ้าทำความสงบของใจเข้ามาล่ะ ถ้าใจสงบเข้ามา เปิดใจขึ้นมาน่ะ ภาชนะที่คว่ำอยู่นะ เวลาฝนตกแดดออกขนาดไหนนะ ภาชนะจะไม่ได้สิ่งใด ๆ เข้าไปในภาชนะนั้นเลย ภาชนะต้องหงายขึ้นมา นี่ก็เหมือนกันจิตที่มันยังคว่ำอยู่ จิตที่มันยังมีทิฏฐิมานะ จิตที่มันยังปิดกั้นตัวของมันเองอยู่เนี่ย มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่มันจะรู้จริง เพราะโดยธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของมนุษย์ ธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ เห็นไหม ธรรมชาติของมัน มันธาตุรู้ไง ธาตุรู้เนี่ยมันต้องรู้ตลอดไป มันเป็นธาตุรู้มันจะรับรู้ของมัน มันจะเป็นเครื่องรู้ มันจะรับรู้ตลอด แล้วมันรับรู้สิ่งต่าง ๆ ธาตุรู้ ธาตุรู้ แล้วธาตุรู้ที่มันรู้ออกไปเนี่ย มันรู้ออกไปโดยอะไรล่ะ

มันรู้ไปโดยอะไร โดย ๒ กรณี กรณี ๑ การรับรู้เนี่ย ธาตุรู้มันเป็นธาตุของมันเฉย ๆ มันจะรับรู้อะไรไม่ได้เลย แต่ขณะที่มันมีสัญชาตญาณของมัน มันมีขันธ์ ๕ ของมัน มันมีสังขารความปรุงแต่ง มันมีวิญญาณเห็นไหม วิญญาณในปฏิสนธิวิญญาณ วิญญาณในขันธ์ ๕ วิญญาณในสามัญสำนึก วิญญาณในหน้าที่การงาน อย่างเช่น เสียงกระทบหูเนี่ยโสตวิญญาณ ฆานะวิญญาณต่าง ๆ วิญญาณเกิดจากกลิ่น จากเสียง จากรสต่าง ๆ เห็นไหม เนี่ยวิญญาณรับรู้ วิญญาณรับรู้เนี่ยมัน ดูสิประสาทมันพิการขึ้นมาเนี่ย การรับรู้ของลิ้น การรับรู้ของรสน่ะมันไม่มี เนี่ยประสาทน่ะ แต่จิตยังอยู่ไหม จิตยังอยู่เห็นไหม ปฏิสนธิวิญญาณยังอยู่นะ แต่วิญญาณรับรู้ต่าง ๆ เนี่ยมันพิการไป มันบกพร่องของมันไป

สิ่งนี้โดยสามัญสำนึกแล้วเราไปศึกษามา ศึกษาจากอะไร ศึกษาจากวิญญาณข้างนอก คือสัญญา คือความจำได้หมายรู้ เนี่ยศึกษามาจากจินตนาการ พอศึกษาแล้วเรามาขยายต่อยอดของเรา มันก็เกิดจากอวิชชา เกิดจากอวิชชาทั้งนั้นน่ะ อย่างนี้กิเลสมันก็ตามเสี้ยม ตามหลอกตามหลอนตลอดไปเห็นไหม นี่กิเลสมันจะเสี้ยมนะ แต่ถ้าเราจะต้องการความเปิดกว้าง ให้ธรรมะมันจะเกิดขึ้นมาในหัวใจคนได้ เราจะหงายภาชนะของเราอย่างงี้ เราจะต้องทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามา

ครูบาอาจารย์ท่านหลวงปู่มั่นพูดมาเลย เวลาถ้าประพฤติปฏิบัตินะ ให้เหมือนคนโง่ที่สุด ให้เหมือนคนโง่ที่สุด มีเรากับผู้รู้เนี่ย กับพุทโธเท่านั้น ไม่ต้องไปจินตนาการสิ่งใดเลย เว้นไว้แต่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิเนี่ย เราก็ต้องใช้สติตามไล่ให้ทันเลย เหมือนเรากับความคิดเท่านั้นเผชิญหน้ากัน เรากับคำบริกรรมเท่านั้นที่จะยึดเกาะมันให้ได้ เราจับหลักนี้ให้ได้ ถ้าจับหลักนี้ให้ได้เห็นไหม เนี่ยกิเลสมันสงบตัวลงเห็นไหม เนี่ยเปิดทางกว้างเห็นไหม เพื่อความสะดวกในการขับเคลื่อนไปของจิต ด้วยความขับเคลื่อนไปของจิตที่มันจะออกไปรับรู้ ออกไปมีการกระทำเห็นไหม

ออกไปรับรู้ ออกไปมีการกระทำ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความตกผลึก ความตกผลึกของใจ ใจมันศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม สิ่งที่ตกผลึกมาในใจคือความจริง คือความรับรู้ คือความแยกแยะของจิตน่ะ มันตกผลึกมาที่ใจ ถ้ามันตกผลึกมาที่ใจเห็นไหม แค่ตกผลึก แค่ใจที่เป็นอิสรภาพเนี่ย สัมมาสมาธิ ถ้ามีสติสัมปชัญญะ รู้เห็นกับมันนะ แต่นี่การประพฤติปฏิบัติมันไม่เป็นสัมมาสมาธิเพราะเหตุใด มันไม่เป็นสัมมาสมาธิเพราะความตกผลึกอันนี้มันไม่มั่นคงของมัน ความตกผลึกของ...

นี่ที่ว่าสันตติ สันตติ จิตเป็นสันตติ มันเกิดเห็นไหม เป็นดวง ๆ ๆ ๆ สิ่งที่เป็นดวง ๆ เนี่ย คำว่าดวง ดวงจิตต่าง ๆ ที่รับรู้น่ะ อาการของจิตทั้งนั้น อาการของจิตแต่ตัวจิตจริง ๆนี่ ตัวจิตเนี่ยจิตที่เป็นสันตติเนี่ยที่มันเกิดขึ้นมาเห็นไหม มันเกิดมันเกิดทับซ้อนน่ะ มันไม่รับรู้ดวงต่าง ๆ หรอก คำว่าดวง คำว่าสิ่งต่าง ๆ มันเป็นอาการที่รับรู้แล้วเห็นไหม ภวังคจิต จิตยกขึ้นรับรู้สิ่งนั้น มันเป็นอาการทั้งหมด แล้วจิตมันเร็วกว่านั้น สิ่งต่าง ๆ ที่เราให้เอาแสงเลเซอร์จับ ยังไงก็จับไม่ทันจิตหรอก ไม่ทัน

ดูสิ ธรรมดาความจริง ความปกติเนี่ยจิตคิดได้หนึ่งเดียว เห็นไหมธรรมดาเนี่ย มือเนี่ยกำสิ่งของได้ชิ้นเดียว แต่มือกำสิ่งของได้ชิ้นเดียว ในมือเราเนี่ยกำสิ่งของไว้ชิ้นใดชิ้นหนึ่งเต็มกำมือนี้ มือนี่จะว่างไปจับสิ่งอื่นอีกไม่ได้เลยเห็นไหม ชัดเจนไหม ชัดเจนมากเลย จิตก็เหมือนกัน มันต้องคิดได้หนึ่งเดียว ทำไมเราคิดได้ซ้อนล่ะ ทำไมบางทีเราคิดได้ ๓ เรื่อง ๔ เรื่องไปพร้อม ๆ กันล่ะ ทำไมมันคิดได้ล่ะ ความเร็วของมันดูสิ เนี่ยมันเร็วขนาดนั้นน่ะ แล้วจิตดวงหนึ่งไปเห็นดวงหนึ่ง จิตดวงหนึ่งไปทับดวงหนึ่ง ปัจจยาการนะ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ สิ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน สิ่งนี้มีถึงสิ่งนี้ ๆ ๆ สิ่งนั้นน่ะมันเป็นปัจจยาการ จิตน่ะมันละเอียดลึกซึ้งซับซ้อน หลายซับหลายซ้อนมาก

ฉะนั้นธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเทศนาว่าการเนี่ย มันมีตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียดไปต่าง ๆ หลากหลายนัก หลากหลายนักนะ สิ่งที่ว่าหลากหลายนัก เราศึกษาขึ้นมาแล้วเห็นไหมเนี่ย ๆ ถ้าศึกษามาแล้วเราว่าเราเข้าใจ นี่กิเลสมันหลอกเราชั้นหนึ่งแล้วนะ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไปนะ อย่าให้กิเลสมันย้อนศรนะ กิเลสมันย้อนศรมันกลับมาทำลายเราเองนะ

แม้แต่กิเลสในปัจจุบัน กิเลสที่จะขับเคลื่อนไปพร้อมกันเนี่ย มันก็ทำให้เราเนี่ยหัวหกก้นขวิดนะ เนี่ยเวลาปฏิบัติน่ะน้อยเนื้อต่ำใจ เวลาปฏิบัติมันจะไม่ได้ผลตามมัน เนี่ยกิเลสที่กับเราไปพร้อมกันเนี่ย เราต้องตั้งสติแล้วก็พยายามกำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิให้กิเลสมันยุบตัวลง ให้กิเลสมันยุบตัวลง กิเลสเป็นนามธรรม กิเลสเกิดจากจิต ทุกอย่างเกิดจากจิตเห็นไหม

ถ้ากิเลสกับจิตเป็นเนื้อเดียวกันมันเป็นอนุสัย คำว่าอนุสัยมันนอนเนื่อง มันมีมา แล้วมันละเอียดมาก มันเป็นความเคยใจ หัวใจดวงนี้เคยทำสิ่งใดมา เคยซับซ้อนสิ่งใดมา สิ่งนี้มันจะเป็นจริตนิสัยของเรา จริตนิสัยเห็นไหม ถ้ามันชอบเห็นไหม มันชอบ ดูสิอย่างสิ่งต่าง ๆ คนไม่ชอบเขาไม่ต้องการสิ่งนั้นเลย แต่คนชอบ ชอบแล้วมีความสุขเห็นไหม ดูความสุขความทุกข์มันเกิดมาจากอะไรล่ะ เกิดจากความชอบ เกิดจากความพอใจ เกิดจากความสิ่งที่ที่สนองตัณหาความทะยานอยากของตัว มันก็เป็นความสุขขึ้นมา เป็นอามิสเห็นไหม ต้องได้สัมผัส ได้เสพถึงมีความสุขของมัน

คนที่ไม่ชอบเป็นทุกข์นะ สิ่งนี้ปฏิเสธผลักไสมันไม่ชอบ ไม่ชอบสิ่งนี้เลยไม่ต้องการสิ่งนี้เลย แต่ถ้ามันเป็นกรรม สิ่งนี้ทำไมมาอยู่ใกล้กับเรา สิ่งนี้ทุกข์น่าดูเลยเห็นไหมเนี่ยสิ่งต่าง ๆ มันทุกข์ สุข มันมาจากไหน เนี่ยมันเป็นจริตเป็นนิสัยเพราะอะไร เพราะการกระทำอันนี้ สิ่งต่าง ๆ ทำมาอย่างนี้ แล้วเวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเนี่ย ตรงกับจริตตรงกับนิสัยเห็นไหม

องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางธรรมไว้ เนี่ยกรรมฐาน ๔๐ ห้อง วิธีการทำใจให้สงบ เพียงแต่การทำใจให้สงบ หงายภาชนะให้ได้ หงายภาชนะขึ้นมา เนี่ยจิตมันไม่สงบเพราะเกิดอัตตา อัตตาความยึดมั่นถือมั่นของเราเนี่ย พุทโธ ๆ ๆ ๆ ๆ ไปเนี่ยเห็นไหม ตั้งยึดมั่นอัตตา คำว่าอัตตา อัตตาคือมันยึดในตัวมันเองว่าตัวนี้เป็นมัน พุทโธ ๆ ๆ ๆ พุทโธเข้าไปเห็นไหม

พุทโธเข้าไปบ่อย ๆ ครั้งเข้า เนี่ย ๆ สิ่งที่เป็นอัตตาเห็นไหม มันได้เคลื่อนไหว ๆ ๆ อัตตาเนี่ยมันยุบตัวลงนะ พอยุบตัวลงเพราะเราใช่ไหม เพราะเรา เพราะศักดิ์ศรี เพราะทิฏฐิ เพราะความเห็น เพราะความยึดมั่น เราเนี่ยมันขวางไว้หมดเลย ขวางให้จิตนี่ลงสมาธิไม่ได้ แล้วพุทโธ ๆ ๆ พุทโธไปเรื่อย ๆ มันกระจายตัวเราเนี่ยไป อยู่กับพุทโธ ๆ เห็นไหม

พุทโธเกิดจากวิตก ถ้าเราไม่นึกพุทโธจะไม่มี แต่นึกพุทโธแล้วทำไมพุทโธไม่อยู่กับเราล่ะ นึกพุทโธทีแรกเห็นไหมจะชัดเจนมาก พร้อมสติ พร้อมพุทโธ ๆ ๆ แล้วก็อ่อนไป ๆ คำว่าอ่อน ถ้าสติพร้อมนะ อ่อนหรือมันจางไปพร้อมกับสติสัมปชัญญะเข้มข้นขึ้นมา อันนั้นถูกต้อง แต่ว่าพุทโธ ๆ ๆ มันจางไป พร้อมกับความรับรู้ พร้อมกับสติ จางจนหายไปเลยเห็นไหม

มันมี ๒ ประเด็น ประเด็น ๑ มันมีข้อเท็จจริงที่มันเนี่ย อัตตาหรือตัวตนเนี่ย มันเริ่มมีคำบริกรรมเนี่ย เข้าไปตีแผ่มันเห็นไหม นี่มันเป็นข้อเท็จจริง แต่ว่าพุทโธ ๆ ๆ ๆ เพราะศึกษา เพราะกิเลสมันย้อนศร เพราะกิเลสเอาธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราศึกษาเนี่ย ของครูบาอาจารย์ที่ท่านสั่งสอนเนี่ย ว่าพุทโธ ๆ ๆ เนี่ยมันหยาบ ๆ นะ พุทโธมันเป็นการวิตกวิจาร เป็นของหยาบ แต่ถ้ามันเป็นสมาธิจริง ๆ น่ะ มันจะละเอียดของมันไปเรื่อย ๆ ละเอียดไปเรื่อย ๆ ละเอียดจนพุทโธไม่ได้เลย ละเอียดจนพุทโธไม่ได้

เหมือนทำอาหารนี่ คนทำอาหารเขาทำด้วยความชำนาญ เขาทำได้เรียบร้อย เขาทำได้คล่องแคล่ว แล้วรสชาติดีมาก เราพยายามจะทำอาหารเนี่ย เราไปทำเหมือนเขาเลย ทุกอย่างมาพร้อมเลย ผัดออกมาดิบ ๆ สุก ๆ ไม่ได้เรื่องเลย นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีความชำนาญของมัน พุทโธ ๆ ๆ ๆ ไปนี่ มันจะละเอียดของมันไปด้วยความชำนาญ ด้วยความคล่องแคล่ว ด้วยทำสิ่งต่าง ๆ มันจะลงมันจะเข้าสัมมาสมาธิ

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ในเมื่อเราตั้งสติของเรา เราใช้สติของเราอยู่กับคำบริกรรม เราบริกรรมพร้อมสติพร้อม ถ้าใช้คำบริกรรมไปด้วยเนี่ย มันพร้อมของมันเห็นไหม เนี่ยแต่ถ้าเราไม่พร้อมของเราล่ะ แล้วเนี่ยสิ่งที่มันพร้อมของมัน สติของมันขึ้นไป มันก็ละเอียดของมันไป ละเอียดตามความเป็นจริง

แต่เราพุทโธ ๆ ๆ สติเราก็อ่อน แต่เพราะเรายึด เรายึดว่ามันจะต้องละเอียดเข้าไป มันจะต้องจางไป มันต้องจางไป เนี่ยเราแก้ปัญหานี้กับผู้ที่ปฏิบัติใหม่ทุกคน ว่าพุทโธหายไม่ได้ ก็บอกสุดท้ายแล้วพุทโธจะหาย ถ้าเป็นอัปปนาสมาธิพุทโธจะหายไป พุทโธ ๆ ๆจนพุทโธไม่ได้ จิตเป็นตัวจิต เป็นตัวที่ว่าอิสรภาพของมันเลย อึ๊ก ๆ เลยเห็นไหม จิตเป็นหนึ่ง เพราะจิตกับอารมณ์ความรู้สึกเห็นไหม จิตเป็นสอง โดยธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนเป็นอย่างนั้นหมด ทุกคนจะมีจิตอยู่ ทุกคนจะมีพลังงานอยู่ในตัวเราเนี่ย แล้วทุกคนจะมีความคิดด้วย

ความคิดเนี่ยมันสื่อความหมายกันทางโลก เป็นสามัญสำนึก ความคิดน่ะมันเป็นสอง ทุกคนจะมีอารมณ์ความรู้สึกน่ะ เนี่ยกับจิต กับตัวพลังงาน ตัวพลังงานคือตัวธาตุรู้ แล้วก็มีอารมณ์อยู่ด้วย นี้องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนของมัน ใช้ธรรมะเนี่ยเพื่อให้เราได้สัมผัสความจริงขึ้นมา ให้มันนึกพุทโธ ๆ ๆ ๆ จะพุทโธเรื่อย ๆ ๆ เนี่ยพุทโธเนี่ย สัญญาอารมณ์เห็นไหม เนี่ยพลังงานกับตัวสัญญาอารมณ์ พุทโธ ๆ จนพุทโธเห็นไหม จนมันละเอียดเข้ามาจนมันเป็นหนึ่งได้ จนเป็นหนึ่งได้เนี่ยสัมมาสมาธิ

ถ้ามันเข้ามาถึงสัมมาสมาธิได้เห็นไหม เนี่ยตามความเป็นจริง แต่ถ้าพุทโธ ๆ ๆ ๆ พุทโธจางไปเลย มันเป็นสองอยู่แล้วเนี่ย เพราะพลังงานกับความคิดพุทโธ แล้วยังพุทโธ ๆ ๆ แล้วมันจะจางไป กิเลสมันย้อนศร กิเลสมันย้อนศรนะ เอาธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาธรรมะของครูบาอาจารย์นี่แหละ แต่เพราะความเข้าใจผิดของเราเห็นไหม เนี่ยกิเลสมันถึงทำลายเรา กิเลสมันทำลายเรานะ เราถึงจะไม่ได้ลิ้มรสสมาธิธรรม ได้ลิ้มรสของความสงบของใจ

ถ้ามันได้ลิ้มรสความสงบของใจเห็นไหม พุทโธ ๆ ๆ เนี่ย ตั้งสติ นี้พอตั้งสติชัดเจนมาก พุทโธ ๆ ๆ ตะโกนเลยล่ะ ถ้ามันจะเป็นสัมมาสมาธินะ ถ้าจิตมันจะสงบนะ ตะโกนขนาดไหนจิตมันจะลงของมัน พอมันลงของมัน ตะโกนขนาดไหน ตะโกนชัด ๆ เลยน่ะ เราถึงเวลาแก้ผู้ที่ปฏิบัติใหม่บอกว่าพุทโธ พุทโธหายไม่ได้ พุทโธหายไม่ได้ แต่ตามข้อเท็จจริงมันจะหายของมัน ถ้ามันเป็นอัปปนาจนพุทโธไม่ได้เลย มันเป็นข้อเท็จจริง

เพราะเราเนี่ยโดนกิเลสมันย้อนศรได้ เพราะพวกเราเนี่ยโดนกิเลสเอามาหลอก ในการประพฤติปฏิบัติกันน่ะ ชิงสุกก่อนห่าม อยากได้ก่อน อยากได้ก่อนซื้อ อยากไปหมดเลย แล้วผลของมันทำให้เราไม่ได้รับรสความเป็นจริงเลยเห็นไหม นี่ไปกับกิเลส เนี่ยเวลาปฏิบัติเพื่อจะเปิดทางนะ ถ้าจิตสงบเนี่ยเหมือนการเปิดทาง การรักษาความปลอดภัยเห็นไหม เขาจะมีรถกวาดถนนขึ้นไปให้เรามีความปลอดภัย แต่ความปลอดภัย นี่ขนาดปลอดภัยแล้วนะ แล้วเวลาปฏิบัติไปเห็นไหม ถ้าเกิดวิปัสสนา เกิดปัญญาขึ้นมาเนี่ย ถ้ากิเลสมันย้อนศรนะ จิตมันสงบแล้วนะ

ถ้าจิตมันสงบพอจิตมันสงบ พอจิตสงบเห็นไหม เราก็อยู่กับความสุขนั้น เพราะความสงบนั้นนะ เนี่ยสุขใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แม้แต่จิตสงบนี่มีความสุขมาก ความสุขมากจนผู้ประพฤติปฏิบัติติดได้ว่า เนี่ยคือนิพพาน เนี่ยติดความสุข ติดความสงบนั้น เพราะติดว่ามีการกระทำ มีการกระทำแล้วคิดว่าเห็นไหม สิ่งต่างที่เกิดขึ้นมาถ้าใช้ปัญญาเนี่ย เขาเรียกในวงกรรมฐานเราใช้คำว่า ปัญญาอบรมสมาธิ คำว่าอบรมสมาธิคือทำให้จิตสงบ มันไม่ได้ฆ่ากิเลสเลย มันไม่ได้ทำลายกิเลสให้ตัวไหนได้สะเทือนจากเราเลย

ทั้ง ๆ ที่เห็นไหมเนี่ยการกระทำสิ่งนี้ เราไปกับกิเลสเนี่ย แล้วพอจิตสงบขึ้นมาแล้ว เราจะต้องชำนาญและรักษามันให้เป็น ถ้ารักษาไม่เป็นนะ เรามีเงินอยู่สัก ๕ บาท ๑๐ บาท แล้วเราใช้หมดแล้วเนี่ย เราจะไปหาเงินที่ไหน ถ้าเรารักษามันเป็นนะ เราจะประหยัดมัธยัสถ์ของเรา ตั้งสติแล้วทำความสงบนี่ มันสงบได้อย่างไร ถ้าสงบได้อย่างไรเห็นไหม สิ่งที่ทำมาแล้วมันจะเป็นสิ่งที่เป็นประสบการณ์ของเรา ถ้าประสบการณ์พยายามทำอย่างนี้ พอทำอย่างนี้ปั๊ปเนี่ย กิเลสมันต่อต้านทุกเรื่อง มันทำลายทุกอย่าง

กิเลสนี่นะพระพุทธเจ้าบอกกิเลส คำว่ากิเลส ๆ ๆ พระพุทธเจ้าเป็นคนบัญญัติศัพท์นะ กิเลสมันก็คือตัวเรานี่แหละ กิเลสก็คือความรู้สึกในหัวใจเรานี่แหละ แล้วเราทำสิ่งใดแล้วเนี่ย เราเองก็คาดหมายไปกับมันตลอดเห็นไหม เนี่ยมันก็ว่าเคยสงบแล้วนะ ทำอย่างนี้ ๆ สงบนะ มันจะเป็นสูตรสำเร็จนะ ไม่ได้กินนะ ไม่ได้กิน เนี่ยต้องทำนะจนกิเลสมันเผลอ พอมันเผลอ กิเลสมันเผลอ กิเลสมันสู้ความจริงจังของเราไม่ได้ กิเลสมันสู้กับสัจจะความจริงของเรา ที่พยายามต่อสู้กับมันเนี่ย มันก็สงบได้อีก มันก็สงบได้อีก

สงบจนเรายืนยันได้ ว่าเราสามารถทำได้ ถ้าเรามีสติ มีคำบริกรรมแล้วมีสติ มันต้องลงได้ ลงได้เห็นไหม พอจิตสงบบ่อยครั้งเข้าจนมีกำลัง มีความเข้มแข็งนี้ เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่น จิตถึงออก จิตตั้งมั่นแล้ว จิตตั้งมั่นเราควบคุมได้หมด ขณิกสมาธิ อุปปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ พอจิตตั้งมั่น ออกรู้ ๆ ออกรู้ว่าเนี่ย ๆ ออกรู้ในอะไร ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ในกายเรานี่แหละ

นี่ดูสิในร่างกายเราของเราทั้งนั้นน่ะ มันเกิดเป็นเราจริง ๆ มนุษย์สมบัติเห็นไหม มนุษย์สมบัติเนี่ยเป็นอริยทรัพย์ เพราะเราไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ จิตต้องเกิดอยู่แล้ว มันจะเกิดในสถานะใดแล้วแต่ แต่เกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพุทธศาสนาด้วย แล้วรู้จักบุญกุศลด้วย แล้วรู้จักการประพฤติปฏิบัติด้วย ว่าจะเอาจิตนี้ออกจากกิเลสให้ได้ด้วย

ถ้ามันรู้จักปฏิบัติเห็นไหม พอจิตสงบแล้วเนี่ย ออกรู้ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรมเนี่ย ถ้าออกรู้ตามความเป็นจริงนั่น ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงโดยจิตที่มันสงบนะ มันสะเทือนหัวใจมาก มันสะเทือนหัวใจจนขนพองสยองเกล้า ใครเห็นกายครั้งแรกนะ ใครเห็นกายครั้งแรกโดยสัจธรรมนะ มันสะเทือนหัวใจมาก

สิ่งนี้มันเห็นกันไม่ได้ มันเห็นกันไม่ได้สิ่งที่คุยกัน สิ่งที่เขาสื่อสารกันในทางโลก ไม่จริง มันไม่จริงเพราะอะไร เพราะเป็นคำพูดเฉย ๆ ไง เป็นคำที่เป็นปรมัตถธรรม ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เนี่ยพิจารณากายคือเห็นกาย เนี่ยกิเลสมันหลอกตัวเอง เหมือนการสร้างภาพ สร้างภาพว่าทำอย่างนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เนี่ยตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วเราฟังธรรมวินัยไว้ เราก็ทำครบสูตร ทุกอย่างเหมือนกันหมดเลย แล้วมันจะผิดไปไหนล่ะ ก็ผิดตรงกิเลสมันหลอกนี่ไง

เพราะมันไม่สะเทือนกิเลสไง เพราะกิเลสเนี่ยมันหลอก กิเลสเอาธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเงา แล้วหลอกให้เราทำตามนั้น ให้ครบขบวนการของการกระทำ แล้วว่าผลมันจะเกิดขึ้น ไม่มีทาง เป็นสัญญาอารมณ์ เป็นสิ่งที่เราไปลอกเลียนมา มันเป็นเลียนแบบ ลอกเลียนมา มันเป็นไปไม่ได้ ไม่เป็นปัจจุบันธรรม มันไม่เกิดขึ้นกับจิตนั้นนี่ไง เนี่ยกิเลสมันย้อนศร มันย้อนศร มันทำลายเราทั้งนั้นนะ กิเลสมันย้อนศร

เนี่ยดูสิในการประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมาเนี่ย เนี่ยถ้าเราทำจริงขึ้นมานะ พอทำจริงมันเห็นความจริง เนี่ยทางมันจะเปิดโล่ง เปิดโล่งให้เราก้าวเดินไปได้ แล้วถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันสะเทือนหัวใจ สะเทือนมาก จนถึงที่สุดนะถ้าไปเห็นจิตเดิมแท้นะ มันเหมือนไก่ตาแตก โดยธรรมชาติของเราเห็นไหม มันต้องมีการสัมผัส มันต้องมีการรับรู้ มันถึงรู้สิ่งนั้นได้ แล้วจิตมันรู้จิต จิตที่มันเป็นของมันเอง มันรู้ตัวมันเองเนี่ย เป็นเรื่องมหัศจรรย์ มหัศจรรย์กว่าการเห็นกายหลายร้อยเท่าหลายพันเท่า การเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมเนี่ย มันสะเทือนหัวใจมาก นี่ไง มรรคหยาบ มรรคละเอียดไง

มรรคอย่างหยาบ ๆ เนี่ยนะ มรรคอย่างหยาบ ๆ เห็นไหมดูสิ แม้แต่ความคิดที่ทำความสงบของหัวใจ มรรคอย่างหยาบ ๆ มรรคหยาบ มรรคของโลกเห็นไหมดูสิ เขาว่ามรรคนะ สัมมาอาชีวะ ต้องเลี้ยงชีพอย่างนั้น ๆ ไอ้นี่มันมรรคของฆราวาสเขา ฆราวาสธรรม มันไม่ใช่มรรคของนักบวชหรอก มันไม่ใช่มรรคสามัคคี ไม่ใช่มรรคของโสดาปัตติมรรค ไอ้นั่นมันมรรคของฆราวาสเขา ฆราวาสเขาสัมมาอาชีวะ เนี่ย ๆ สอนไง กตัญญูกตเวที ต้องมีกตัญญู ต้องเป็นคนดี มันก็เป็นคนดีทั้งนั้นน่ะ แต่ดีของใคร เนี่ยดีของเขาเห็นไหม เขาประกอบสัมมาอาชีวะใช่ไหม เนี่ยดูสิ ทำเลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงชีพโดยสะอาดบริสุทธิ์ไง ดีหมดเลย แล้วดีแล้วได้อะไรล่ะ เอ้าก็ได้ตายไง ได้เกิดมาแล้วตายเปล่าไง ตายฟรี ๆ ตายเปล่า ๆ

เกิดมาพระพุทธศาสนา ให้มีการประพฤติปฏิบัติ มันบุญกุศลหรือผลตอบแทน มันต่างกัน ผลตอบแทนของทาน เป็นอามิสก็เวียนไปในวัฏฏะ ก็เป็นผลของวัฏฏะ การเกิดการตายในวัฏฏะ ผลของการทำความสงบของใจ ถ้าจิตมันสงบขึ้นมาได้ มันมีหลักของมันขึ้นมา แล้วเวลาจะตายนะ จิตมันจะเข้ามาถึงคุณงามความดีของเรา นี่ไปเกิดบนพรหมเพราะจิตนี้ เนี่ยสมาธิคือจิตตั้งมั่น เอกัคคตารมณ์ คือจิตหนึ่ง จิตหนึ่งก็เท่ากับพรหม พรหมคือขันธ์หนึ่ง พรหมมีขันธ์เดียว พรหมมีจิตล้วน ๆ ไม่มีขันธ์ ๕ เทวดาคือมีขันธ์ ๕ เห็นไหม

เนี่ยผลตอบสนองมันต่างกัน แล้วเราลงทุนลงแรงทำความสงบของใจ เพราะใจมันสะอาดบริสุทธิ์ เพราะใจออกรับรู้เนี่ยเห็นกาย เห็นจิตน่ะ มันสะเทือนกิเลสน่ะ โอ้โห มันขนพองสยองเกล้า มันสะเทือนมากนะ มันสะเทือนหัวใจมาก สะเทือนหัวใจมากนะ แล้วเราพยายามของเราเห็นไหม เนี่ยอย่าให้กิเลสมันย้อนศร กิเลสมันย้อนศรนะ มันเอาสิ่งนี้มาหลอกลวงเรานะ ดูนะเวลาประพฤติปฏิบัติไปน่ะ ผู้ใดประพฤติปฏิบัติจิตมันสงบขนาดไหน แล้วทำจิตสงบอีกไม่ได้ ทำจิตสงบไม่ได้เห็นไหม จิตสงบไม่ได้ จิตต่าง ๆ เนี่ย มันเป็นเวรเป็นกรรมของคนนะ

บัว ๔ เหล่า สิ่งที่คนเราเนี่ยสร้างบุญกุศลของเรามาดีเห็นไหม สร้างกุศลของเรามาดี มันจะมีสิ่งที่ สัปปายะ ๔ เนี่ยอาจารย์เป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ สถานที่เป็นสัปปายะ ไปที่ไหนมันสัปปายะ มันพอดีไปหมดนะ แต่ถ้าเรามีบาปมีกรรม สิ่งนั้นดี ๆ นะ พอเราไปมันเปลี่ยนแปลงจนไม่เป็นสัปปายะสักอย่างหนึ่ง เนี่ยอำนาจวาสนาของคน คำว่าอำนาจวาสนาเนี่ย เราก็มองไม่เห็นกันไง ว่าทำไมมันเป็นอย่างนั้น ๆ เนี่ยครูบาอาจารย์ท่านไปปฏิบัติเห็นอย่างนี้มา มันไปแล้วมันได้จังหวะพอดี ๆ นะ

เนี่ยพูดถึงอำนาจวาสนา คือการสร้างบุญกุศลมา บุญกุศลทำให้สิ่งใดสิ่งนั้นที่การประพฤติปฏิบัติมันลงตัว มันควรจะเป็นไปได้ เหมือนทางโลกเลย เหมือนทางโลกที่เราประกอบสัมมาอาชีวะเนี่ย ถ้าเราได้สร้างบุญ จังหวะมันมานะ ตำแหน่งว่างพอดีทุกทีเลย พอจะเลื่อนตำแหน่งนะ ว่าง ๆ มันไปได้คล่องตัวมากเลย บางคนขวนขวายขนาดไหน ไม่ได้ ๆ ๆ แข่งอำนาจวาสนาแข่งกันไม่ได้นะ อำนาจวาสนาเกิดจากอะไร เกิดจากการกระทำเรานี่แหละ เราทำบุญกุศล เราทำคุณงามความดีของเรา

อยากมีปัญญาดี ๆ เห็นไหม นั่งสมาธิภาวนาเนี่ยปัญญาจะเกิดขึ้นมา แล้วปัญญาเกิดในสมาธินะ ปัญญาเวลาเรานั่งอยู่คนเดียว เนี่ยว่านั่งอยู่โคนต้นไม้มันจะเกิดปัญญาได้อย่างไร ทำไมไม่ศึกษาเล่าเรียน ศึกษา ศึกษาจากตู้พระไตรปิฎกในหัวใจเลย เปิดมันออกมา ปัญญามันออกมาเนี่ย ปัญญาเกิดจากการภาวนาล้วน ๆน่ะ ปัญญาที่มันชำระกิเลสมันเกิดจากการภาวนา เกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา เกิดจากหัวใจเนี่ย แล้วเกิดขึ้นมาเนี่ยมันเป็นความจริง

องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ยตรัสรู้ธรรมขึ้นมาจากโคนต้นโพธิ์เนี่ย มันมีธรรมะที่ไหน มีธรรมข้อไหนที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ศึกษามากับใคร เนี่ยแล้วเวลาตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์เห็นไหม เนี่ยแล้ววางสัจจะ เทศน์ธรรมจักร เนี่ยเทศน์ธรรมครั้งแรก เนี่ยเทศน์ธรรมจักร เทวเม ภิกฺขเว... ทางสองส่วน ๆ ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทดสอบมากับเจ้าลัทธิต่าง ๆ มาตลอดแล้ว เนี่ยทางสองส่วนที่เห็น ๆ กันในรูปธรรมเลย แล้วทางสองส่วนในใจล่ะ

ทางสองส่วนเนี่ย กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค เนี่ยจิตมันตกไปสองส่วนอย่างไร แล้วจิตมันจะเป็นกลางอย่างไร เป็นกลางไม่ใช่กลางขี้ลอยน้ำนะ เป็นกลางแบบรับรู้ เป็นกลางแบบฐีติจิต จิตที่เป็นสัมมาสมาธิ เข้าไปเผชิญกับกิเลส เข้าไปเผชิญกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากเห็นไหม สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สังโยชน์ ๓ ตัวที่เป็นโสดาบันนี่ เข้าไปเผชิญกับมัน แล้วต่อสู้กับมัน ต่อสู้ด้วยอะไร สังโยชน์มันอยู่ที่ไหน อะไรไปต่อสู้กับมัน มันก็อาศัยสังโยชน์คือความเคยใจ เคยใจที่มันเกาะเกี่ยวอยู่กับกาย เวทนา จิต ธรรม กายเนี่ยที่มันยึดมั่นถือมั่นของมัน จิตใต้สำนึกเป็นเราทั้งนั้นล่ะ

จริง ๆ มันเป็นเรา มันเป็นเราโดยสมมุติทั้งนั้นแหละ มันเป็นชีวิตนี้เป็นจริงเกิดเป็นจริง ทุกอย่างเป็นจริงหมดล่ะ มันเป็นจริงจริงโดยสมมุติเห็นไหม จริงในวัฏฏะเพราะมันแปรปรวน มันเวียนตายเวียนเกิด มันมีหมดอายุขัย มันมีการตายของมัน แล้วจิตนี้มันตายแล้วมันไปไหน มันก็ตายแล้วก็เกิดอีก เกิดอีกก็ตายอีก เกิดอีกก็ตายอีกเห็นไหม เนี่ยก็จริงอย่างนี้ไง จริงแบบสมมุติไง มันเป็นจริง ๆ ของมัน แล้วตีแผ่กับมัน ถ้าจิตมันไม่จริงของมันแล้วจะเอาอะไรมาจริงกับมัน

ถ้ามันจิตมันจริงขึ้นมามันเป็นสัมมาสมาธิเห็นไหม จริงกับมัน ถ้าจริงของมันพิสูจน์กับมัน เนี่ยจิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม จิตมันพิสูจน์ จิตมันเห็นจริง จิตมันสะเทือนจิต เพราะจิต จิตมันหลงผิด เนี่ยอุปาทานที่มันฝังอยู่กลางหัวใจเนี่ย มันจะถอดถอนอย่างไร ถ้ามันไม่มีมรรคญาณขึ้นมา เข้ามาชำระมัน เข้ามาถอดถอนมัน เนี่ยเข้ามาถอดถอน เนี่ยการต่อสู้นะ

นี่คือการเดินอริยมรรค ถ้าการเดินอริยมรรคนะ การเกิดอริยมรรคนะ แล้วเกิดถ้ากิเลสมันย้อนศรขึ้นมา มันชนตายเลย ดูรถสิ รถเห็นไหม วิ่งคนละเลนเลยเห็นไหม ทำไมมันวิ่งข้ามเกาะมาชนเราตายหมดเกลี้ยงเลย เนี่ยขณะที่มันวิปัสสนาไป เราอย่าให้กิเลสมันย้อนศร เวลาเราปฏิบัติไปแล้วนะ ขณะที่จิตมันเป็น ขณะที่จิตมันเป็นนะ ขณะที่จิตมันเป็นสมาธิ จิตที่มันจับกายได้ จับเวทนา จับจิต จับธรรมเนี่ย แล้วมันแยกแยะของมันเห็นไหม มันแยกแยะของมัน มันปล่อยของมัน มันวางของมันได้ พอมันปล่อยมันวางของมันเห็นไหม

แล้วเราเคยได้เคยเป็นน่ะ แล้วมันอยากได้ อยากดี อยากดี ก็ใช้ปัญญาใช้ต่อสู้กับมันตลอดไป มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะคนเราทำงานมันต้องเหนื่อยยาก คนเรามีเงินมีทองใช้สอยไป มันต้องบกพร่องไป เงินมันต้องพร่องไปเป็นธรรมดา มันต้องหามาเติม มันต้องหามาเติมใช่ไหม เพราะอะไร เพราะชีวิตเราอีกยาวไกล

การประพฤติปฏิบัติของเราเนี่ย เราต้องการชำระกิเลส เราต้องต่อสู้กับมันด้วยเกมส์ยาว ไม่ใช่เกมส์สั้น ๆ เกมส์สั้น ๆ ขิปปาภิญญาเท่านั้นที่ตรัสรู้ ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ถ้าเกมส์มันยาวเห็นไหม เราพิจารณาแล้วนี่ ถ้าจิตมันสงบนะ พิจารณากายเนี่ย เนี่ยรำพึงให้เป็นอย่างไร เนี่ยรำพึงเห็นไหม พิจารณากายนะ พิจารณากายเนี่ยโดยปัญญา ปัญญาเนี่ยมันจะรำพึงเลย ให้แปรสภาพเป็นอย่างนั้น ๆ อย่างนั้นน่ะ ถ้ากำลังของจิตมันมีนะ มันพั้บ ๆ ๆ ตามที่เราทำงาน แล้วพอพั้บ ๆ ๆ รสของมันนะ รสของจิตเห็นน่ะ

ดูสิ เวลาครูสอนนักเรียนน่ะ เขามีเลคเชอร์ เขาทำให้เห็นนะ เด็กมันเรียนตามน่ะ มันจะเขียนตามเลยแต่นี่จิตมันเห็นของมัน เวลามันให้แปรสภาพพั้บ ๆ ๆ เนี่ย มันสะเทือนหัวใจ สะเทือนหัวใจ สะเทือนหัวใจ ถ้ามันสะเทือนหัวใจมันปล่อย พอปล่อยมันก็ว่างเห็นไหม พอปล่อยว่างเนี่ย ปล่อยขนาดไหนแล้ว ไว้ใจไม่ได้ ถ้ามันเป็นจริงนะ มันเป็นจริงของมัน มันจะเป็นจริงของมัน เนี่ยวิปัสสนา การใช้ปัญญาของเรา เนี่ยแต่ถ้ากิเลสมันย้อนศร มันทำลายหมดเลย พอมันทำลายแล้วนะ มันยังคิดว่าสิ่งนี้เป็นมรรคผลนิพพาน

มันทำลายได้ ขณะปฏิบัติไปเนี่ย มันจะมีเล่ห์เหลี่ยม แล้วปฏิบัติไปนะยิ่งละเอียด กิเลสมันยิ่งละเอียด เนี่ยโสดาปัตติมรรคเนี่ย ขณะที่เริ่มต้นการกระทำเนี่ยเพราะว่ากิเลสมันรู้ตัวนะ กิเลสมันเริ่มรู้ตัวแล้วเห็นไหม เช่นทำสมาธิเนี่ย กว่าสมาธิจะได้จะเปิดทางโล่งให้จิตมันเดินออกไปได้ มันยังจะต่อสู้กับอัตตาตัวตนของตัว อัตตาของเรานี่แหละ ตัวตนของเรานี่แหละ มันทำให้จิตเราสงบไม่ได้ ทำจนตัวตนของเรามันเปิดทางโล่งให้ได้ พอเปิดทางโล่งให้ได้เนี่ยออกวิปัสสนาไป วิปัสสนาไปพอมันรู้มันเห็นของมันขึ้นมาเนี่ย ด้วยความอยากได้ ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากเห็นไหม ขณะที่ทำดีเป็นความดีทั้งนั้นน่ะ

การประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ทุกคนก็ต้องการจะพ้นทุกข์ ทุกคนก็ต่อสู้กับกิเลส เพื่อจะให้มันล่วงจากทุกข์ไป แล้วในการต่อสู้มันผิดตรงไหน ในการต่อสู้กับกิเลสมันผิดตรงไหน ในการทำสมาธิมันผิดตรงไหน มันผิดไง มันผิดเพราะเราคิดว่าเราจะทำให้ได้ เราจะทำให้มันถึง แต่การทำไปนั้นมันไปบั่นทอนตัวมันเองไง บั่นทอนดูสิ ทรัพย์สินเงินทองที่เราใช้ไป มันบั่นทอน มันน้อยไปไหม ทำไมทรัพย์สินเงินทองที่เราใช้ไปเนี่ย มันร่อยหรอไปไหม เราจะหามาเพื่อให้ตระกูลของเรามั่นคงไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ที่มันได้พิจารณาไป มันได้กระทำของมันไป มันได้ใช้ไปแล้วมันร่อยหรอลงไหม

แล้วก็ทำความดีไง ก็ต่อสู้กับกิเลสไง การต่อสู้กับกิเลสมันผิด ผิดตรงไหน การต่อสู้เนี่ยกิเลสมันคิดอย่างนี้ไง เนี่ยกิเลสมันย้อนศรนะ ย้อนศรทำให้เราละล้าละลัง เนี่ยพิจารณาไปแล้วจะได้หรือไม่ได้ แล้วการพิจารณานี้มันเป็นปัญญาน่ะ มันจะต้องชนะกิเลสด้วยปัญญา ก็ปัญญามันเกิดแล้ว ดูสิมันปล่อยขนาดนี้ ตทังคปหาน พิจารณากายมันปล่อยโล่งเนี่ย เนี่ยปล่อยโล่งขนาดไหน เนี่ยมันสรุปไม่ได้

ขณะที่มันสรุปเนี่ย ขณะจิตที่มันแปรเนี่ยมันแปรสภาพ จากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน เพราะเราเห็นการใช้ปัญญา การใช้ทำลายอัตตา ทำลายตัวตนของเรา ทำลายตัวตนขึ้นมานะ มันถึงเห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ความรับรู้ ความมีฉลาด มีปัญญาเนี่ยมันเป็นบ่วงของมาร มันไปบูชาตัวตนอันนี้ให้มีทิฏฐิมานะ มันเลยทำให้เป็นปุถุชน ไม่เป็นกัลยาณปุถุชน เพราะมันทำจิตของเราให้ย่อยสลาย ให้มันสงบไม่ได้

แต่พอเราใช้ปัญญาของเรา ใช้คำบริกรรมของเราต่าง ๆ ทำลายมันตลอดไป ทำลายมัน ๆ ทำลายใจเรานี่แหละ ทำลายความรู้สึก ทำลายทิฏฐิ ทำลายมานะ ทำลายศักดิ์ศรี ทำลายตัวตนเรานี้ ทำมัน ทำลายมัน ๆ พอทำลายมันไปบ่อยครั้งเข้า ๆ เห็นไหม เนี่ยสิ่งที่มันเป็นตัวตน มันเป็นอัตตาขึ้นมาเพราะใคร ก็เพราะว่ารูป รส กลิ่น เสียงบูชามันไง ยกยอมัน สรรเสริญมัน มันก็มีทิฏฐิมานะ ทิฏฐิมานะมันก็ทุกข์อยู่นี่ไง

แต่ถ้าเราใช้ปัญญาขึ้นมา มันปล่อยเห็นไหม เนี่ยปุถุชน กัลยาณปุถุชน มันเห็นการเปลี่ยนแปลง เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เราจะควบคุมใจของเราได้ ที่ทำสมาธิของเราได้ พอออกไปนะ ถ้าเปลี่ยนแปลงจนจิตมั่นคง จิตพิจารณา เราใช้ปัญญาของเรา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญาจนจิตมันตั้งมั่นของมัน

ถ้ามันออกวิปัสสนาไม่ได้เห็นไหม มีเงิน มีทุนใช้ไม่เป็น คนเราเนี่ยเขาทำธุรกิจการค้ากันเนี่ย เขาต้องการทุนรอนมาก ถ้าใครทุนรอนมากเนี่ย เราทำการค้าของเราเนี่ย เราโอกาสมหาศาลเลย เพราะทุนเรามาก สัมมาสมาธิก็เหมือนกัน มีทุนมีรอนแล้วทำธุรกิจไม่เป็น ใช้อะไรไม่เป็น ปล่อยให้มันเสื่อมไป มีเงินทองใช้จ่ายฟุ่มเฟือย จนไม่เคยบำรุงรักษา ไม่เคยทำให้มันงอกเงยขึ้นมา แล้วมันจะเอาอะไรไปสู้กับเขา

เนี่ยพอจิตมันสงบขึ้นมาแล้วเนี่ย มันออกเนี่ย จิตสงบแล้วออกวิปัสสนาไม่เป็น ทำไม่ได้นะ ถ้าจิตมันสงบแล้วออกวิปัสสนาได้ มันออกไปเห็นกายเนี่ย เห็นกาย เห็นเวทนา ถ้ามันไม่เห็น เห็นมันไม่ได้รำพึงมันขึ้นมา มันต้องจุดประเด็นขึ้นมาให้เห็น กาย เวทนา จิต ธรรมให้ได้ ถ้าเห็นกาย เวทนา จิต ธรรมได้ มันพิจารณาไป มันคนละมิติกัน มันคนละระดับกันหมดล่ะ

มรรค ๔ ผล ๔ มรรคหยาบ มรรคละเอียด ต่าง ๆ หลากหลายมาก ถ้าหลากหลายมากเห็นไหม เนี่ย ๆ ที่เราทำขึ้นไป ตั้งแต่ ๆ เราต่อสู้กันเพื่อเปิดทางขึ้นมา แล้วเวลาพิจารณาไป พิจารณาไป เนี่ยธรรมที่ว่าใช้ปัญญาแล้วมันจะผิดตรงไหน ๆ ผิดหรือถูกเนี่ยมันรู้หมดน่ะ จิตของเราเนี่ย มันจะรู้เองเป็นปัจจัตตัง เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ทุกข์ไหม อยู่ในปัจจุบันก็ทุกข์ ปฏิบัติก็ทุกข์ แต่ความทุกข์อย่างงี้สิ่งที่ตอบสนองมา ที่เป็นผลตอบแทนขึ้นมาเนี่ย มันมีอะไรเป็นผลตอบแทน สิ่งที่ตอบแทนขึ้นมาเนี่ย สิ่งใดมันเป็นประโยชน์กับจิตดวงนี้

ถ้าจิตดวงนี้มันพิจารณาขึ้นไป เห็นไหมพิจารณาไป พอพิจารณาของมัน ถ้ามันออกจิตสงบแล้วออกวิปัสสนาได้ วิปัสสนาขนาดไหนเห็นไหม วิปัสสนาเราก็พยายามทำของเรา เนี่ยไงกิเลสมันย้อนศร กิเลสมันย้อนศร กิเลสมันข้ามเกาะข้ามดอนเข้ามาชนตายเลย นอนตายอยู่ข้างถนนน่ะ เนี่ยถนนที่ไหน ดูสิเราเปิดโล่งขึ้นมาเพื่อเปิดถนนหนทางให้ก้าวเดิน แล้วกิเลสมันก็ย้อนศรเข้ามา ทิ่มหัวใจให้ตายคาสมาธินั้นน่ะ เนี่ยมันตายคาที่อยู่ ฐีติจิต มันตายคาอยู่กับหัวใจเรา

มันไม่ก้าวหน้า มันไม่ไปไม่ได้เห็นไหมเพราะอะไร เพราะกิเลสมันย้อนศรมาทิ่มหัวใจเราเอง เนี่ยพิจารณาแล้วยิ่งใช้ปัญญาแล้ว ยิ่งวิปัสสนาแล้วจะต่อสู้กิเลส จะเอาผลเอาให้ได้ไง ต้องวางไว้นะ อย่าให้กิเลสมันหลอก ใช่เราทำดีก็ทำดีของเรา ทำดีแล้วเนี่ย ขนาดทำดีแล้วเนี่ย มันก็ต้องมีปัญญา มีการทดสอบเห็นไหม ถ้าพิจารณาไปแล้วมันปล่อยเนี่ย ตทังคปหานมันปล่อยวางอย่างนี้ มันปล่อยวางแล้วเนี่ย จิตใจเนี่ยมันมีสิ่งใดบ้าง ที่หลุดออกไปจากการยึดมั่นถือมั่นของเรา

ถ้าไม่มีสิ่งใดหลุดออกไปจากความยึดมั่น คือจิตปกติไง การทำสมาธิเนี่ย การทำความสงบของใจเนี่ย จิตก็ปกติเนี่ย มันมีแต่ความสุข มีแต่ความอิ่มเอมในหัวใจ แต่มันก็กิเลสยังท่วมปกติเนี่ยแหละ ออกวิปัสสนาไปแล้ว พอวิปัสสนาไปแล้วเห็นไหม วิปัสสนาขนาดไหน ถ้าเป็นตทังคปหานคือเราทำงานแล้วไง เหมือนเราทำงานแล้ว แต่ผลตอบแทนยังไม่ถึงที่สุด ผลตอบแทนยังไม่ถึงที่สุดเห็นไหม สัพเพ ธัมมา อนัตตา

องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนธรรมะ เนี่ยเป็นอนัตตา สิ่งที่เป็นอนัตตานี่ไง ถ้าจิตมันวิปัสสนา เนี่ยอนัตตา อนัตตาเพราะอะไร อนัตตาเพราะมีจิต มีจิตเนี่ยจับกาย เวทนา จิต ธรรม จิตจับจิต จิตจับกาย จิตจับเวทนา จิตจับธรรม แล้ววิปัสสนาใคร่ครวญ มันเป็นอนัตตาเพราะมีการกระทำ แต่ถ้ามันเป็นโดยแยกส่วนของมัน มันเป็นอนัตตายังไง มันเป็นอนัตตาที่ไหน หนังสือมันเป็นอนัตตาเหรอ หนังสือคำว่าอนัตตาเนี่ยหนังสือ สพฺเพ ธมฺมา อนฺตตา ในธรรมจักรก็เป็นหนังสือ เป็นธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมของพุทธศาสนา แล้วเรารู้อะไร จะแก้กิเลสของเราได้ไหม เราจะแก้กิเลสของเราได้ มันต้องเป็นเนื้อหาสาระ เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาจากจิต

นี่ไง อย่าให้กิเลสมันย้อนศร อย่าให้กิเลสมันอ้างอิงธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ทิ่มมาที่เรา ทิ่มหัวใจเรา ย้อนศรมากระทืบ จิตนี่แบนแต๊ดแต๋อยู่กับกิเลสเลย เนี่ยเราต้องต่อสู้กับมัน ให้มันเกิดขึ้นเป็นประสบการณ์จริงเห็นไหม เนี่ยสันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง ประสบการณ์ของจิต จิตมันมีประสบการณ์ของมัน มีการกระทำของมันเห็นไหม เราจะไม่ให้กิเลสย้อนศรเข้ามาทำลายเรา ไม่ให้กิเลสตรงข้าม ข้ามเลนมาประหารความเพียรของเรา ความเพียรของเรานี่มันจะทุกย์จะยาก มันจะยากง่ายขนาดไหน มันเป็นอำนาจวาสนาจริง ๆ นะ

เนี่ยครูบาอาจารย์ของเรานะ บางองค์ปฏิบัติ เนี่ยพรรษาสองพรรษาไปแล้ว มีมรรคมีผลมีขึ้นมาในหัวใจแล้ว บางองค์สิบพรรษา ยี่สิบพรรษายังไม่ได้ บางองค์ปฏิบัติไปสี่สิบ ห้าสิบพรรษาก็ยังต่อสู้กันน่ะ แต่ยังมีความเพียรอยู่ ไอ้นี่เนี่ยสิ่งที่เรา ๆปฏิบัติกันอยู่นี่ เราเห็นแล้วเราก็อยากจะให้มันเหมือนกัน ทุกคนก็อยากให้มันดีทั้งนั้นแหละ แต่ของอย่างนี้นะ พันธุกรรมทางจิตน่ะ จิตมันมีพันธุกรรมของมันมา จิตมันมีเข้มแข็ง อ่อนแอของมันมา จิตมันมีความบกพร่อง ๆ คือว่ามัน.. สิ่งใดบกพร่องของใจเนี่ย มันเป็นจุดบอดของใจเนี่ย สิ่งที่ใจมันบกพร่องเห็นไหม

เนี่ยแล้วสิ่งที่เข้มแข็งล่ะ สิ่งที่มีคุณธรรมในหัวใจล่ะ สิ่งเนี่ย มันมีไอคิวไง คำว่ามีไอคิวนี่นะ มันมีปฏิภาณ มันมีปฏิภาณไหวพริบที่จะจับความรู้สึกของเรา ความคิดที่มันถูกมันผิด ความคิดของเรา เนี่ย ๆ ความคิดของเรา สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาจากเราเนี่ย มันถูกมันผิดเราต้องดูนะ เราคิดของเราเอง ว่าถ้ามันคิดของเราเนี่ยเรารักมาก เรารักตัวตนเราเองมาก สิ่งที่เกิดมาแล้วนี่ต้องถูกต้องไปหมด เพราะเราก็รักเราแล้วสิ่งใดเราจะคิดสิ่งที่ไม่ดีได้ยังไง เห็นไหมเนี่ยดูสิ นี่ไม่ใช่กิเลสย้อนศรนะ นี่มันกระทืบ ๆ ตรง ๆ เลย กระทืบให้หัวใจแบนคาตีนมันเลย เนี่ยเราจะสู้กับมัน ยังไม่ทันทำอะไร มันกระทืบเราแบนคาตีนมันแล้ว

เนี่ยสิ่งต่าง ๆ เราต้องคิด เราใช้ปัญญาของเรา นี่พูดถึงปฏิภาณไหวพริบ ปฏิภาณมันเกิดขึ้นมาจากพันธุกรรมทางจิต พันธุกรรมนะ บุพเพนิวาสานุสติญาณ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างมา ๔ อสงไขยแสนมหากัป ครูบาอาจารย์ของเราอย่างเช่น อัครสาวก อัครสาวกเห็นไหม ดูสิอัครสาวกขึ้นมาเนี่ย สาวก สาวกะ เนี่ยสร้างกันมาแสนกัป แต่สิ่งที่เป็นอัครสาวกต้องมากกว่านั้นเห็นไหม เวลาองค์พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร เห็นไหม ขณะที่ว่าฟังธรรมพระอัสสชิเป็นพระโสดาบัน จะมาบวชเห็นไหม พระพุทธเจ้าพยากรณ์ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์นะ เนี่ยอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวาเรามาแล้ว เรามาแล้วเห็นไหม แล้วพระพุทธเจ้าเทศน์สอน เพราะอนาคตังสญาณรู้หมดล่ะ เนี่ย ๆ พันธุกรรมทางจิต พันธุกรรมทางจิตที่ได้สร้างมา

นี่พันธุกรรมทางจิตสร้างมาแล้วเนี่ย มันเป็นของใครล่ะ มันเป็นเพราะเราทำมาเองทั้งนั้นน่ะ เราไม่สามารถเอาไม้บรรทัด เอามาตรวัดไปวัดว่าใครดีใครชั่ว ความดีความชั่วมันเป็นเอกเทศ เอกสิทธิ์ของจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นเป็นเจ้าของการกระทำดวงจิตดวงนั้น ถ้าจิตดวงนั้นเป็นเจ้าของการกระทำ จิตดวงนั้นเป็นผู้กระทำเสียเอง แล้วเอามาตรไหนไปวัดจิตดวงนั้น ก็จิตดวงนั้นเป็นมาตรฐานจิตดวงนั้นเห็นไหม ถ้าจิตดวงนั้นเป็นมาตรฐานดวงนั้น เราเอาจิตนี้มาปฏิบัติเห็นไหม จิตตภาวนา ถ้าจิตตภาวนาแล้ว เราภาวนาของเรา เราสู้กับใคร ก็เราสู้กิเลสเราเองไง

ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช่ สาธุ ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรามา เนี่ยธรรมวินัย เนี่ยครูบาอาจารย์ท่านบอก เป็นปูนหมายป้ายทางให้เราเดินตามนั้น แต่เราเดินตามนั้นแล้วนี่ การประพฤติปฏิบัติมันก็มีข้อเท็จจริงของมัน ในการที่เราจะเอา ยกจิตของเราพยายามที่จะทำให้จิตของเราเข้มแข็งขึ้นมา เพื่อจะต่อสู้ ต่อสู้กับกิเลสของเราเห็นไหม ถ้าต่อสู้ของเราเนี่ย ถ้ามันต่อสู้ทำความสงบของใจให้ได้

ถ้าใจสงบแล้วออกวิปัสสนาได้ วิปัสสนาขนาดไหน ปล่อยวางขนาดไหนแล้วเนี่ย มันปล่อยวางนะ คำว่าปล่อยวางแล้วเนี่ย ถ้ามันปล่อยวางขึ้นมาหนหนึ่ง มันยังไม่สรุปขณะจิตยังไม่เกิด ผลตอบยังไม่เกิด สังโยชน์ขาดไม่ได้ เพราะสังโยชน์ไม่ขาดไม่มีใครรู้ ถ้าสังโยชน์ขาด มันขาดมาจากจิต มันรู้ชัดเจนขึ้นมาจากจิตดวงนั้น ถ้าสังโยชน์ขาด ถ้าสังโยชน์ขาดเป็นโสดาบันขึ้นมาเนี่ย มันจะรู้ขึ้นมาในหัวใจทันทีเลย นี่โสดาบันเป็นอย่างนี้

แต่ถ้ายังไม่มีคำตอบ ยังไม่มีสิ่งที่เป็นโสดาบันเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ เราต้องทำซ้ำไป แต่ส่วนใหญ่แล้ว เวลาประพฤติปฏิบัติไปเห็นไหม กิเลสมันย้อนศรมาไง ย้อนศรมา นี่เป็นธรรม นี่ใช่ธรรม เนี่ยคือผล นี่คือการกระทำแล้วใช่ แล้วพอย้อนศรมันทำลาย ทำลายโอกาส ๆ นะ ถ้ายังไม่ขาด ในการประพฤติปฏิบัติไป มันก็ใช้ปัญญาด้วยความจงใจ ด้วยความแกล้วกล้าองอาจกล้าหาญ พยายามใช้ปัญญาไปเรื่อย ๆ มันเสื่อม กี่ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง ๑๐๐ ชั่วโมง ทำแล้วทำอีก

ถ้ากำลังของสมาธิไม่พอ กำลังของสมาธิไม่พอเนี่ย มรรคสามัคคี มรรค ๘ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ สติชอบ ปัญญาชอบ สมาธิชอบเห็นไหม มรรคสามัคคี เนี่ย ๆ คำว่ามรรคสามัคคีเห็นไหม พอใช้ปัญญาไปเนี่ย ๆ ใช้ปัญญา ปัญญาเป็นมรรคตัวหนึ่ง เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นความเห็นชอบ พอมันใช้ของมันไป ๆ แล้วกำลังของมันหนุนไม่ทัน พอกำลังหนุนขึ้นมาไม่ทันเนี่ย สิ่งที่มันไม่สมดุลกัน มันจะมรรคสามัคคีได้ไหม ความสมดุลของมรรคญาณจะเกิดไหม ถ้าความชำนาญของมรรคญาณ มันไม่เกิดเห็นไหม

เนี่ย ๆ นี่ไง กิเลสมันย้อนศรมา ถ้าความชำนาญของเราไม่เกิด เราก็ใช้ปัญญาของเราไปเรื่อย เพราะทิฏฐิมานะ เพราะความเห็น เพราะว่าใช้คำว่าปัญญา คำว่าเราทำมาถูกต้องดีงามแล้วไง นี่ไงความถูกต้องดีงามของเราเห็นไหม เนี่ยกิเลสมันกลับมากระทืบเราอีกเห็นไหม ทั้ง ๆ ที่ประพฤติปฏิบัติอยู่นี่ กิเลสมันกระทืบแล้วกระทืบอีกนะ เนี่ยย้อนศรมาเหยียบย่ำอยู่แล้วไง เราก็ว่าเราไปถูกต้อง ไปตามเลน เราไปตามถนนน่ะถูกต้องเลย แต่กิเลสมันย้อนกลับมา เราไม่ได้ดูกิเลส แล้วเราก็ไปตามสิทธิของเราเห็นไหม ถนนถูกต้อง เราไปตามตรงนี่แหละแต่เวลามันย้อนกลับมาไม่ได้ดู เนี่ยเราพิจารณาขนาดไหน พิจารณาของมันพิจารณาไป ใช้ปัญญามากน้อยขนาดไหนนะ ถ้าไม่กลับมาทำความสงบของใจ ไม่กลับมาที่ฐาน มันสรุปลงไม่ได้

ใช้ปัญญาไปแล้วละล้าละลังนะ เหนื่อยอ่อนมาก ทุกข์มาก สู้มากด้วยความองอาจแกล้วกล้ากล้าหาญเนี่ย ต่อสู้กับกิเลสไปเรื่อย ๆ เนี่ย แต่เนี่ยถ้าปล่อยวางนั้นซะ วางงานนี้ไว้ก่อน แล้วกลับมาทำความสงบของใจให้ได้ มรรคสามัคคี ความสมดุลของมรรค ความสมดุลของสมาธิ ความสมดุลของสติ ยกอันนี้ขึ้น เพราะสิ่งนี้มันขาด มันไปมีมากอยู่ที่สัมมาทิฏฐิ ไปมีมากที่การใช้ปัญญา แต่สัมมาสมาธิอ่อนด้อย สัมมาสมาธิเพราะกำลังมันใช้ไปมากเห็นไหม เราต้องเพิ่มสัมมาสมาธิขึ้นมา

ต้องเพิ่มสติขึ้นมา งานชอบเห็นไหม สัมมาทุกอย่างเห็นไหมเนี่ย เนี่ยการกระทำนี่มันฝึกซ้อมบ่อยครั้งเข้า ๆ จนพิจารณาซ้ำแล้วปล่อย ซ้ำแล้วปล่อย แล้วต้องทำบ่อยครั้งมาก ทำบ่อยครั้งมาก มีคนไปถามครูบาอาจารย์เยอะมากว่าปฏิบัตินี้ถูกต้องไหม ถูกต้อง คำว่าถูกต้องก็เหตุผลมันถูกต้องหมดล่ะ แต่มันสรุปลงไม่ได้ไง ถึงครูบาอาจารย์บอกว่าให้ซ้ำ ๆ ความถูกต้องเห็นไหม ความถูกต้อง ความดีงามเห็นไหม แต่อย่าให้กิเลสมันย้อนศรสิ อย่าให้กิเลสมันย้อนศร อย่าให้กิเลสมันหลอก ทำแล้วทำเล่าอยู่ที่อำนาจวาสนา

ขิปปาภิญญาที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย แต่เวไนยสัตว์ปฏิบัติแล้วขนาดไหน พิจารณาแล้วมันปล่อย พิจารณาแล้วมันปล่อย มันถูกต้องแล้ว ถูกต้องมันวางใช่ไหม แล้วพอมันวางก็มีความสุข มีความสุขเราก็อยู่กับสุขอันนั้น พอสุขอันนั้น พอมันคลายตัวเราก็มาก็พิจารณาซ้ำ ถ้าพิจารณาซ้ำไม่ได้ จับต้องไม่ได้ กลับมาทำความสงบของใจก่อน ทำให้มีกำลังขึ้นมาแล้วพิจารณาซ้ำ พิจารณาซ้ำเสร็จแล้วให้มันปล่อยอีก พิจารณาปล่อยอีกมันก็อยู่กับความสุขอันนั้น แล้วถ้ามันยังไม่มีผลสรุปเห็นไหม พอมันคลายตัวก็พิจารณาซ้ำ ๆ เนี่ยครูบาอาจารย์ท่านจะเน้นว่าซ้ำ ๆ ๆ

คำว่าซ้ำ เอ้าก็ทำแล้วก็ใช้ปัญญาแล้ว จะไปซ้ำอะไรอีกล่ะ อย่าให้กิเลสมันย้อนศรมานะ นี่กิเลสมันย้อนศรมาตรงนี้ ตรงนี้เพราะอะไร ตรงนี้บอก เอ้าก็พิจารณาแล้วมันปล่อยแล้ว นี่ขณะจิตมันก็หนเดียวไง พอปล่อยก็ปล่อยหนเดียวไง ปล่อย ถ้าหนเดียวคือขณะจิตที่มันสรุปลงถอนสังโยชน์แล้วนั้นหนเดียว แต่ถ้ามันยังไม่ได้ถอนสังโยชน์ มันปล่อยโดยตทังคปหาน โดยการใช้ปัญญา ปล่อยโดยกำลังที่เราวิปัสสนา นี่ไงปล่อยแล้วมันไม่ถึงที่สุดไง ตทังคปหานมันปล่อยชั่วคราว แล้วปล่อยชั่วคราวแล้วกิเลสมันตีกลับมานะ กรรมฐานม้วนเสื่อไง กรรมฐานม้วนเสื่อเพราะต้องกลับมาทำความสงบอย่างนี้

เหมือนเราแลกเปลี่ยนสินค้าเนี่ย เราต้องมีเงินพอกับสินค้านั้น เราถึงแลกเปลี่ยนสินค้านั้นมาได้ การวิปัสสนา ปัญญามันจะเกิดขึ้นมาชำระกิเลสจนมันปล่อยวางอย่างนั้นได้เนี่ย มันก็ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา จนมีกำลังพอที่จะปล่อยมันได้ แล้วเวลามันปล่อยมาแล้วเนี่ย คิดว่าโดนกิเลสมันย้อนศร มันว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรมแล้วนี่แล้วปล่อยไปเนี่ย พอปล่อยไปแล้วนี่ความเสื่อมค่าของสมาธิ ความเสื่อมค่าความชำนาญของการใช้ปัญญา ความเสื่อมค่าไง เพราะของที่เราไม่ได้ใช้มันเสื่อมค่า อย่างเช่นเครื่องมือต่าง ๆ เราเก็บไว้โดยไม่รักษา มันจะเกิดสนิมเกิดอะไรต่าง ๆ ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้หรอก

เนี่ยสิ่งต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นมาเนี่ย ถ้าเราไม่รอบคอบเห็นไหม เนี่ยเพราะกิเลสมันย้อนศรมา แล้วมันหลอกเรา มันเหยียบย่ำเราเห็นไหม พอเหยียบย่ำเราก็คิดว่าใช่ เห็นไหม เราคิดว่า สรุปแล้วเราคิดว่าใช่ แล้วเราประมาทเลินเล่อ สิ่งนี้มันก็เกิดสนิม เกิดต่าง ๆ เนี่ยปัญญามันด้อยค่าลง แล้วพอมันรู้สึกตัวขึ้นมา มีครูบาอาจารย์คอยบอกเรา หรือว่าเรามีอำนาจวาสนา เอ๊ะ พระโสดาบันทำไมมันยังคิดแบบนี้ได้ล่ะ ทำไมพระโสดาบันมันยังจับพลัดจับผลูอย่างนี้อีกเหรอ เนี่ยมันจะฟ้องตัวเองนะ จิตมันฟ้องตัวเอง

คนใดนะถ้าทำความผิดพลาดในหัวใจ มันจะมีความผิดพลาดแล้วแสดงตัวตลอดเวลา ถ้าคนใดข้อสงสัยข้อโต้แย้งในจิตมันโผล่ทันที คนเป็นไข้ถ้ามันมีอาการไข้อยู่ มันต้องเป็นไข้ มันต้องแสดงตัวออกมาแน่นอน ถ้าคนเราไม่ได้ชำระกิเลส ไม่ได้สมุจเฉทปหาน เดี๋ยวกิเลสมันต้องฟ้องมึงแน่นอน มันต้องเป็นสุภาพบุรุษ มีความจริงใจกับตัวเอง มีความซื่อสัตย์กับตัวเอง

เพราะซื่อสัตย์เพราะใคร เพราะจิตนี้มันจะไม่เกิดนะ เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเพื่อจะให้พ้นจากทุกข์นะ เนี่ยสันทิฏฐิโก ปัจจัตตังไม่มีใครบอกเราได้หรอก ไม่มีใครรับประกัน การันตีกับใครทั้งสิ้น มันเป็นดวงจิตดวงนั้น ดวงจิตนั้นเป็นผู้ที่ค้นคว้า จิตดวงนั้นเป็นผู้ที่ประสบการณ์ของจิตดวงนั้นเห็นไหม ถ้ามันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นความจริงขึ้นมาเนี่ย มันขาด! มันขาดดั่งแขนขาด กิเลสขาดดั่งแขนขาขาด สังโยชน์ขาดไปเนี่ยจิตมันหลุดออกไป

เนี่ย เพราะถ้าจิตไม่เป็นพระโสดาบันนะ มันอยู่ในวัฏฏะนะ มันเป็นผงฝุ่นเห็นไหม เป็นผลของวัฏฏะ มันจะหมุนเวียนไปในวัฏฏะเนี่ย กามภพ รูปภพ อรูปภพเนี่ย แต่ถ้ามันขาดตรงนี้นะ อย่างมากอีก ๗ ชาติเท่านั้น มันไม่เป็นผลของวัฏฏะอีกแล้วไง จิตนี้มันหมุนไปในวัฏฏะมันไม่มีต้นไม่มีปลาย มันจะหมุนไปตลอดเนี่ย ถ้าตรงนี้มันขาดปั๊ปเนี่ยพระโสดาบัน อีก ๗ ชาติ ถ้าจะเกิดอีกนะ แต่ถ้าประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดของมันได้เห็นไหม มันขาดดั่งแขนขาด ดั่งกิเลสขาดไปจากใจเนี่ย จิตดวงนี้ไม่เหมือนจิตดวงทั่ว ๆ ไปแล้ว

ถ้าจิตปกติทั่ว ๆ ไปเนี่ย มันเป็นจิตปกติทั่วไป มันมีดี มีชั่ว มีบุญ มีกรรม มันหมุนไปตามวัฏฏะนั้น ถ้าจิตดวงที่พิจารณา ถ้ามันขาด คำว่าขาด มันสรุปของมันได้ มันเป็นความจริงของมัน เป็นความจริงของมันเห็นไหม เพราะเป็นความจริงของมันอย่างนี้ เนี่ยกิเลสมันไม่ย้อนศร ระดับนี้นะ ระดับนี้กิเลสย้อนศรมาไม่ได้ แต่ถ้าพิจารณาต่อไปเนี่ย ความละเอียดเนี่ยขั้นของสกิทาเห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อย เนี่ยผู้ที่ต่ำกว่าจะแก้ผู้ที่สูงกว่าไม่ได้ ผู้ที่สูงกว่าเท่านั้นจะแก้ผู้ที่ต่ำกว่าได้ ผู้ที่สูงกว่าเท่านั้น พยายามจะชักนำผู้ที่ต่ำกว่าให้สูงขึ้นมา ๆ คำว่าสูงต่ำเนี่ย สูงต่ำตรงไหน

ดูสิความว่าง ๆ ความว่างของพระโสดาบัน ความว่างของพระสกิทาคา ความว่างของพระอนาคา เนี่ยสิ้นสุดขบวนการพระอรหันต์ ไม่มีความว่างเว้นต่าง ๆ เลย แต่ว่าไม่มี เพียงแต่สมมุติ สมมุติพูดกันเราต้องมีการสื่อสาร สมมุติกันเขาว่าความว่างของพระอรหันต์ ความว่างของพระอรหันต์ไง เนี่ยจิตพระอรหันต์เป็นอย่างนั้น ๆ ถ้ามีจิตอยู่พระอรหันต์ไม่มีหรอก เพราะมีจิต มีภพ เนี่ยพระอรหันต์นะ ครูบาอาจารย์ท่านพูดธรรมธาตุ ๆ เห็นไหม มันธาตุรู้ ธาตุรู้เป็นสสารอยู่แล้ว ในความจริงของมันอยู่แล้ว แล้วถ้าเป็นธรรมล่ะ เป็นธรรมเห็นไหม เป็นธรรมพ้นจากวัฏฏะ พ้นต่าง ๆ มันเป็นความจริงขึ้นมา เราประพฤติปฏิบัติของเราด้วยความเป็นจริงนะ

เห็นไหมเรามาสร้างบุญกุศลกัน จากข้างนอกเราสร้างบุญกุศลเพื่อชีวิตของเราเห็นไหม แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเนี่ย เพื่อให้เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์จากข้างนอกมันเป็นสมมุติ มันเป็นเรื่องที่เติมแต่งกันได้ เติมน้ำมันเติมใส่รถได้ น้ำมันหมดก็เติม บุญกุศลก็เติมกันไป ก็หมุนกันไปในวัฏฏะ หมุนกันไปไม่มีที่สิ้นสุด แต่เราประพฤติปฏิบัตินะ สิ้นสุดได้นะ มันมีสิ้นสุดได้ มันมีการกระทำของเราได้ ท่ามกลางความเป็นจริง เพื่อความประโยชน์กับเรา เพื่อความตั้งใจจริง เพื่อประโยชน์กับชีวิตของเรานะ เอวัง